tag:blogger.com,1999:blog-1728072304601753042024-03-21T22:12:14.633+07:00ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพBangkok PlanetariumParin Tanawonghttp://www.blogger.com/profile/10726135057809136312noreply@blogger.comBlogger53125tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-15442293309086662982013-08-29T10:26:00.003+07:002014-01-02T13:28:10.391+07:00ทุกคนมาจากดาวอังคาร ไม่มีใครมาจากดาวศุกร์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2013/08/28/article-0-1B80A09F000005DC-284_634x588.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="185" src="http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2013/08/28/article-0-1B80A09F000005DC-284_634x588.jpg" width="200" /></a></div>
<b>จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า สิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกใบนี้ อาจมาจากดาวอังคาร เพราะลักษณะทางกายภาพของโลกเราในอดีตไม่ได้เอื้อต่อการเกิดสิ่งมีชีวิตเลย</b><br />
<br />
นักธรณีเคมี ศาสตราจารย์สตีฟ เบนเนอร์ (Steve Benner) จาก Westheimer Institute for Science and Technology ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกน่าจะมาพร้อมกับอุกกบาตที่เป็นชิ้นส่วนของดาวอังคาร ที่กระเด็นออกมาเพราะการโดนชนหรือการประทุของภูเขาไฟ<br />
<br />
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกของเราประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ การให้พลังงานความร้อนและแสงสว่าง แก่โมเลกุลของสารอินทรีย์แล้วปล่อยทิ้งไว้ จะไม่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต แต่มันจะเปลี่ยนเป็นทาร์ น้ำมันหรือยางมะตอย<br />
<a name='more'></a><br />
ศาสตราจารย์สตีฟชี้ว่า ธาตุที่ควบคุมโมเลกุลสารอินทรีย์ไม่ให้กลายเป็นทาร์ น้ำมัน หรือยางมะตอย คือโบรอนและโมลิบดินัม จึงมีความเชื่อว่าธาตุทั้งสองเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเกิดสิ่งมีชีวิต จากการวิเคราะห์อุกกาบาตจากดาวอังคารพบว่า มีโบรอนอยู่บนดาวอังคาร และมีโมลิบดินัมที่ออกซิไดส์แล้วอยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน<br />
<br />
ธาตุ...ที่เกิดจากการออกซิไดซ์โมลิบดินัม (molybdenum) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ช่วยให้โมเลกุลสารอินทรีย์พัฒนาเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตแรกๆ ซึ่งปรากฏการณ์นี้อาจยังคงมีอยู่บนดาวอังคารจนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
โครงสร้างของโมลิบดินัมที่เกิดการออกซิไดซ์ดังกล่าว ไม่ปรากฏพบบนโลกของเราในช่วงที่เวลาที่คาดว่ามีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น เพราะเมื่อประมาณสามพันล้านปีที่แล้วออกซิเจนบนโลกของเรามีน้อยมาก แต่ออกซิเจนกลับมีมากบนดาวอังคาร จึงเป็นไปได้ว่า "ชีวิต" น่าจะเกิดบนดาวอังคารมากกว่าที่จะเกิดบนโลกของเรา<br />
<br />
นอกจากนี้ ชีวิตบนโลกของเรายังถือกำเนิดได้ยากในช่วงแรกๆ เพราะโลกถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ ซึ่งยับยั้งการเกิดโบรอน (ซึ่งมักจะพบในพื้นที่ที่แห้งแล้งมากๆ) และน้ำยังกัดกร่อน RNA ต้นกำเนิดชีวิตด้วย แม้ว่าบนดาวอังคารในสมัยนั้นก็มีน้ำ แต่ก็ปกคลุมพื้นที่น้อยกว่าบนโลกของเรามาก ดังนั้นดาวอังคารจึงมีโอกาสมากกว่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้น<br />
<br />
ดังนั้น พวกเราทุกคนอาจจะเป็นชาวดาวอังคารและอพยพมายังโลกบนอุกกาบาต โชคดีที่จุดหมายของเราคือโลก ที่ซึ่งสุดท้ายแล้วเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตและวิวัฒนาการ หากบรรพบุรุษของเรายังคงอยู่บนดาวอังคาร โลกของเราคงไม่มีเราอย่างทุกวันนี้<br />
<br />
<b>Source: </b><a href="http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2404416/Life-DID-begin-Mars--travelled-Earth-meteorite-Element-crucial-origin-life-available-red-planet.html">http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2404416/Life-DID-begin-Mars--travelled-Earth-meteorite-Element-crucial-origin-life-available-red-planet.html</a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />Parin Tanawonghttp://www.blogger.com/profile/10726135057809136312noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-56406206377905820532013-08-05T09:58:00.000+07:002014-01-02T13:55:41.431+07:00เชิญชมภาพยนตร์เต็มโดมเรื่องใหม่ "Searching for Aliens" <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1xgYjd658yqjYWp9qQn_TKcEidS-jrx-kBQRJZ7B92ArMmAgByXWN6WvniWJt6TyoZwCqj_Gbm4QsMtSZuVQfU5tJtFf4msueqfv0J6HQluuiN6adJhMw5cjj3Tt70e5IEJsEDsTh3VY/s1600/Screen+Shot+2556-08-05+at+9.55.15+AM.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="225" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1xgYjd658yqjYWp9qQn_TKcEidS-jrx-kBQRJZ7B92ArMmAgByXWN6WvniWJt6TyoZwCqj_Gbm4QsMtSZuVQfU5tJtFf4msueqfv0J6HQluuiN6adJhMw5cjj3Tt70e5IEJsEDsTh3VY/s400/Screen+Shot+2556-08-05+at+9.55.15+AM.png" width="400" /></a></div>
<br />
เตรียมพบกับภาพยนตร์ fulldome เรื่องใหม่ของท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ "Searching for Aliens: การค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก" ซึ่งจะเปิดฉายรอบพิเศษในช่วงงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ 18 - 24 สิงหาคม 2556<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/TgeKtgl9jI0?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #351c75;">movie trailer </span></div>
<br />
Searching for Aliens เป็นภาพยนตร์ในระบบ fulldome เรื่องแรกที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพผลิตขึ้นเองโดยใช้โปรแกรม Blender และ WorldWide Telescope ซึ่งเป็น Open Sources ภาพที่ผลิตออกมาจะอยู่ในรูปของ Dome Original ความละเอียด 2K เรียงต่อกัน 27,059 frames ดังนั้นภาพยนตร์จึงมีความยาวประมาณ 15 นาที (30 frames per second) ปัจจุบันท้องฟ้าจำลองกรุงเทพมีโครงการที่จะผลิตภาพยนตร์ fulldome อย่างต่อเนื่อง และในอนาคตจะมีการทดลองประยุกต์ใช้โปรแกรมอื่น ๆ เช่น Nightshade ควบคู่ไปกับโปรแกรมเดิม<br />
<br />
<span style="text-align: center;">Searching for Aliens เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความพยายามของมนุษย์ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับสัญญาณวิทยุแปลกปลอมโดยองค์กร SETI การค้นหา Exoplanet รวมไปถึงการส่งยาน/หุ่นสำรวจไปประจำดาวเคราะห์ดวงต่าง ๆ ในระบบสุริยะ นอกจากนี้ทุกท่านจะได้ทำความเข้าใจอาณาบริเวณที่นักดาราศาสตร์เรียกว่า Radio-sphere และเรียนรู้ความหมายของคำว่า habitable zone หรือ "เขตที่อาศัยอยู่ได้" ร่วมค้นหาคำตอบถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ร่วมจักรวาลเดียวกับพวกเรา</span><br />
<span style="text-align: center;"><br /></span>
<br />
<div style="text-align: left;">
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถรับชมภาพยนตร์รอบพิเศษในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ 18 - 24 สิงหาคม 2556 ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-60662166537939081802013-07-19T13:37:00.001+07:002013-07-19T13:37:40.831+07:00ทองคำมาจากไหนแน่นอนว่าคุณกำลังอ่านบล็อกของท้องฟ้าจำลองอยู่ ดังนั้นเราจึงไม่ได้เสนอเรื่องราวการตามหาทองหรือการขุดทองตามเหมืองต่างๆ บนพื้นโลกอย่างแน่นอน<br />
<br />
ก่อนที่จะว่ากันถึงเรื่องทอง เคยสงสัยกันไหมว่า เอ๊ะ ธาตุต่างๆ ตามตารางธาตุนั้นมาจากไหน คำตอบสำหรับคำถามนี้ก็คือ มากจากนิวเคลียร์ฟิวชั่น (Nuclear Fusion) ในดวงดาว ซึ่งก็คือการรวมตัวกันของนิวเคลียสในอะตอมและทำให้ดวงดาวส่องแสงและให้ความร้อนได้ อย่างไรก็ตามนิวเคลียร์ฟิวชั่นในดวงดาวทำให้เราได้ธาตุที่มีนิวเคลียสหนักถึงประมาณธาตุเหล็ก ส่วนธาตุที่หนักกว่าเหล็กจะเกิดมาจากการเกิด supernova หรือการระเบิดของดาว<br />
<a name='more'></a><br />
คราวนี้กลับมาเรื่องทองคำของเรา นักวิทยาศาสตร์มีหลักฐานให้เชื่อว่าทองคำในเอกภพนั้นเกิดมาจากการชนกันของดาวนิวตรอน [1] ในตอนแรกดาวนิวตรอนจะโคจรรอบกันและกัน แต่การแผ่รังสีโน้มถ่วง ทำให้พลังงานที่ใช้รักษาระยะห่างระหว่างกันลดลงและในที่สุดก็ชนกันด้วยความเร็วที่สูงมากใกล้กับความเร็วแสง การรวมตัวกันของดาวนิวตรอนจะมีการพ่นสสารออกมาบ้าง แต่สุดท้ายดาวนิวตรอนที่รวมตัวกันก็จะมีมวลมากมายมหาศาลและเกิดเป็นหลุมดำ<br />
<br />
เบอร์เกอร์ (Berger) นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จาก Harvard-Smithson Center for Astrophysics และคณะ ได้ทำการสังเกตการเกิดแสงวาบของรังสีแกมมาซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามาจากการชนกันของดาวนิวตรอน การเกิดแสงวาบพลังงานสูงนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 2 ใน 10 วินาทีเท่านั้น แสงวาบของรังสีแกมมาที่นักวิทยาศาสตร์ทำการสังเกตในงานวิจัยนี้ เกิดขึ้นไกลจากโลก 3.9 พันล้านปีแสง [2] แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะอยู่ไกลมาก แต่เป็นเหตุการณ์ที่ใกล้กับโลกของเราที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์สังเกตได้<br />
<br />
รังสีแกมมาที่วาบออกมานี้จะให้พลังงานกับสสารที่ดาวนิวตรอนพ่นออกมาขณะที่ชนกัน สสารจะเกิดความร้อนและในที่สุดสสารจะคายพลังงานออกมาในรูปของรังสีอินฟราเรด ซึ่งเป็นหลักฐานที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ย้อนกลับไปถึงการชนการของดาวนิวตรอนได้<br />
<br />
ในตอนแรกเรามีความคิดที่ว่าธาตุที่หนักกว่าเหล็กนั้นมาจากการเกิดซุเปอร์โนวาเท่านั้น อย่างไรก็ตามการซิมูเลชั่นทำให้เห็นว่าการเกิดซูเปอร์โนวาทำให้เกิดทองได้ยาก เบอร์เกอร์ กล่าวต่อว่า สัดส่วนของทองในเอกภพเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เกิดจากซูเปอร์โนวา แต่ทองส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากการชนกันของดาวนิวตรอน โดยทองที่เกิดมาจากการชนกันของดาวนิวตรอนขนาดเท่ารัฐบอสตันแต่มีมวล 1.5 เท่าของมวลของดวงอาทิตย์ (แสดงว่าความหนาแน่นสูงมาก) จะทำให้เกิดทองมวลประมาณ 10 เท่าของมวลของดวงจันทร์ ตีราคาได้ 1 ตามด้วยเลขศูนย์อีก 28 ตัว ดอลลาร์ (ถ้าจะคิดเป็นเงินบาทก็สามารถนำอัตราแลกเปลี่ยนคูณเข้าไปได้)<br />
<br />
นอกจากนี้แพลตินัมและยูเรเนียมก็เกิดมาจากการชนกันของดาวนิวตรอนเช่นกัน ทอง แพลตินัม ในเครื่องประดับ ยูเรเนียมในระเบิด เป็นเศษสสารจากการชนกันของดาวนิวตรอน ธาตุเหล่านี้มีอยู่ในกาแลกซี่ก่อนที่ดวงอาทิตย์ของเราจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก<br />
<br />
ทองที่เกิดในช่วงการรวมตัวกันของสสารเกิดเป็นโลกนั้น จมลงสู่แกนกลางของโลก ส่วนทองที่เราขุดขึ้นมาจากเหมืองทอง มาจากกลุ่มฝนดาวตกที่ตกลงมายังโลกของเราเมื่อ 200 ล้านปีหลังจากที่โลกของเราืถือกำเนิดขึ้น<br />
<br />
จากนี้ไป ทุกครั้งที่เรามองดูทองที่เราสวมใส่ เราก็ทราบแล้วว่าจริงๆ แล้วทองเหล่านี้มาจากไหน<br />
<br />
[1] ดาวนิวตรอนเป็นแกนกลางที่เหลืออยู่ของดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว<br />
[2] 1 ปีแสงคือระยะทางที่แสงใช้เวลาเดินทาง 1 ปี แสงมีความเร็วประมาณ 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที<br />
ที่มา: <a href="http://edition.cnn.com/2013/07/18/tech/innovation/gold-origins-stars/index.html?hpt=hp_c4">http://edition.cnn.com/2013/07/18/tech/innovation/gold-origins-stars/index.html?hpt=hp_c4</a>Parin Tanawonghttp://www.blogger.com/profile/10726135057809136312noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-24473321635361726682013-07-05T10:04:00.000+07:002014-01-02T14:38:13.663+07:00ใช้จ่ายเงินในอวกาศอย่างไร... PayPal Galactic มีคำตอบ <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkEsNsrFIDavAGwrI_OL-KCv2gbjk4jhFikHxme74owSpehv1KNQYho3QEbx_-7Y3_9VSpqbchjEKl-Q8T2x21tm-0nzjqW_YHHZVTK6Tg_TeROv8azJ0P_LjG2omBtlKQgblwXMKNJ40/s580/moon-base-580x454.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="311" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkEsNsrFIDavAGwrI_OL-KCv2gbjk4jhFikHxme74owSpehv1KNQYho3QEbx_-7Y3_9VSpqbchjEKl-Q8T2x21tm-0nzjqW_YHHZVTK6Tg_TeROv8azJ0P_LjG2omBtlKQgblwXMKNJ40/s580/moon-base-580x454.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption"><i>Credit: John Spencer/Space Tourism Society</i></td></tr>
</tbody></table>
หลายคน (บนโลก) คงเคยทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านทาง PayPal กันมาบ้างแล้ว ล่าสุด (ในโอกาสครบรอบ 15 ปีแห่งการก่อตั้ง) ทาง PayPal ร่วมกับหน่วยงานด้านดาราศาสตร์ระดับโลกอย่าง SETI [1] ได้เกริ่นนำถึงแผนการสำหรับธุรกิจ e-commerce ในอนาคตซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในโลกอีกต่อไป แต่จะแผ่ขยายออกสู่อวกาศอีกด้วย และสิ่งที่เรากำลังพูดถึงกันนั้นก็คือ PayPal Galactic [2]<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ในศตวรรษที่ 21 ยุคซึ่งความฝันต่าง ๆ เกี่ยวกับการท่องอวกาศเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ลองนึกภาพการไปเที่ยวดวงจันทร์ หรือนึกถึงวันหยุดพักผ่อนสั้น ๆ ในโรงแรมอวกาศที่กำลังโคจรรอบโลก คำถามหนึ่งที่อาจสงสัยกันก็คือเราจะใช้เงินอย่างไรขณะอยู่ในอวกาศ แน่นอนว่า Paypal Galacticจะเป็นทางเลือกหนึ่ง <br />
<br />
“... เมื่อ SETI ประสบความสำเร็จในการสำรวจจักรวาล และพบโลกใบใหม่ท่ามกลางดวงดาว PayPal จะอยู่ที่นั่นเพื่อวางรากฐานระบบ e-commerce” Jill Tarter นักดาราศาสตร์จากองค์กร SETI กล่าว "มนุษย์จะสามารถได้สิ่งที่พวกเขาต้องการแม้จะอยู่นอกโลกก็ตาม" <br />
<br />
Buzz Aldrin นักบินอวกาศโครงการ Apollo 11 และหนึ่งในผู้ริเริ่มโครงการ Paypal Galactic ให้ความเห็นว่า “การเดินทางไปดาวอังคาร ดวงจันทร์ หรือแม้แต่โคจรอยู่รอบโลก มนุษย์อวกาศ (หรือนักท่องเที่ยวอวกาศในอนาคต) จะได้รับการอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบิล หรือแม้แต่จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวบนโลก" Aldrin ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถไปเยือนดาวอังคาร และเขาอยากให้มันเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเขา และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะไม่แปลกใจหากคนจะใช้ Paypal Galactic ในการจัดแจงเรื่องเงินตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่ <br />
<br />
Davis Marcus ประธานบริษัท PayPal กล่าวว่า เมื่อไหร่ที่การเดินทางสู่อวกาศเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไป ประเด็นเกี่ยวกับธุรกิจหรือการใช้จ่ายเงินในอวกาศจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายกันอย่างจริงจัง "...พวกเราคงไม่ตอบคำถามกันในวันนี้ หรือภายในปีนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ พวกเราจะไม่ใช้เงินสดในอวกาศ PayPal ได้ทำให้เกิดการใช้จ่ายเงินทางอินเตอร์เน็ต ทางมือถือ ข้ามพรหมแดนบนโลกมาแล้ว บัดนี้เรากำลังผลักดันให้ PayPalก้าวไปสู่การทำธุรกรรมการเงินระหว่างโลกใบนี้กับโลกใบอื่น ๆ" <br />
<br />
นี่คือคำถามที่ PayPal กำลังพยายามหาข้อสรุป <br />
<ul>
<li>ระบบเงินตราที่ปลอด "เงินสด" ในสังคมอวกาศจะมีรูปร่างเป็นอย่างไร</li>
<li>ระบบธนาคารบนโลกจะต้องปรับตัวอย่างไร </li>
<li>ระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเป็นเช่นใด </li>
<li>กฏระเบียบแบบไหนที่จะถูกบังคับใช้ภายใต้ระบบการเงินอวกาศ </li>
<li>การอำนวยความสะดวกลูกค้าจะต้องเป็นไปในทิศทางใด </li>
</ul>
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น PayPal Galactic จะช่วยมนุษย์อวกาศที่ทำงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ให้สามารถจ่ายบิลกลับมาบนโลก หรือสามารถทำการซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือเพลงออนไลน์ขณะอยู่บน ISS ได้ <br />
<br />
<br />
[1] SETI หรือ Searching for Extraterrestrial Intelligence เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก ข้อมูลเพิ่มเติม www.seti.org <br />
<br />
[2] เยี่ยมชม website ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ของ PayPal Galactic ที่ <a href="http://www.paypal-galactic.com/">www.paypal-galactic.com</a><br />
<br />
เรียบเรียงจาก
<br />
<div style="margin-bottom: 0in;">
<a href="http://www.universetoday.com/103188/how-to-pay-for-that-latte-on-the-moon-paypal-has-a-plan/">http://www.universetoday.com/103188/how-to-pay-for-that-latte-on-the-moon-paypal-has-a-plan/</a></div>
<div style="margin-bottom: 0in;">
<br /></div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-19434480502289632192013-06-26T08:24:00.001+07:002014-01-02T13:55:18.202+07:00นักวิทยาศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าโลก 3 ดวง อยู่ในแถบระยะที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิต (Habitable Zone)<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://news.bbcimg.co.uk/media/images/68343000/jpg/_68343465_68343464.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="190" src="http://news.bbcimg.co.uk/media/images/68343000/jpg/_68343465_68343464.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ดาว <span style="background-color: white; color: #505050; font-family: Arial, Helmet, Freesans, sans-serif; line-height: 16px; text-align: start;">Gliese 667Cd (ดวงใหญ่) และดาวเคราะห์ซูเปอร์เอิร์ทสองดวงทางด้านบนขวา (ภาพจำลอง)</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องโทรทัศน์ขนาด 3.6 เมตร กอปรกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า HARPS [1] ณ หอสังเกตการณ์ซิลลา (Silla Observatory) ประเทศชิลี ส่องไปยังดาวฤกษ์ที่มีชื่อว่า Gliese 667Cd ในกลุ่มดาวแมงป่อง และพบดาวเคราะห์ 3 ดวงในแถบระยะที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิต (Habitable Zone)<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ดาวดวงนี้อยู่ห่างจากโลก 22 ปีแสง [2] และมีมวลเพียง 1 ใน 3 ของมวลของดวงอาทิตย์ ขนาดที่เล็กกว่าดวงอาทิตย์นี้หมายความว่าแถบระยะที่เอื้อต่อการมีน้ำในสถานะของเหลว ก็มีระยะน้อยกว่าระยะระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ด้วย<br />
<br />
ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงมีมวลอยู่ระหว่าง 2.7 ถึง 3.8 เท่าของมวลของโลก และระยะที่ดาวเคราะห์ทั้งสามห่างดวงจากดาวฤกษ์ของมันมีระยะน้อยกว่าระยะจากดวงอาทิตย์ถึงดาวพุธ ทำให้ดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงโคจรรอบดาวฤกษ์ด้วยระยะเวลาเพียง 28, 39 และ 62 วันเท่านั้น นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคาดว่าอาจจะมีดาวเคราะห์อีกหนึ่งดวงที่ขอบด้านในของแถบระยะที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ระบบนี้มีดาวเคราะห์อยู่ทั้งหมด 7 ดวง (อีก 3 ดวงที่เหลือไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้)<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม การที่เราจะบอกได้ว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ในแถบระยะที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิต มีน้ำที่มีของเหลวหรือไม่นั้น เราจะต้องวิเคราะห์ลักษณะของชั้นบรรยากาศบนดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวด้วย<br />
<br />
การค้นพบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์...<br />
- ทราบว่าดาวฤกษ์มวลน้อยสามารถมีดาวเคราะห์ในแถบระยะที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตได้จำนวนหนึ่ง<br />
- ประเมิณอัตราการเกิดดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ชนิด M-dwarf [3] มากกว่าเดิม สองหรือสามเท่า<br />
- คาดการณ์ว่า ในเอกภพของเราจำนวนของดาวเคราะห์ในแถบระยะที่เอื้อต่อการมีชีวิตนั้นอาจจะมีจำนวนมากกว่าดาวฤกษ์<br />
<br />
การค้นพบนี้ทำให้เราได้กลับมาคิดว่า ดาวเคราะห์ที่อยู่ในแถบที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา ส่วนในอนาคตหากเครื่องมือการวิเคราะห์เงื่อนไขอื่นๆ ที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์อันไกลโพ้น มีความทันสมัยมากขึ้น การพบสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นก็คงจะเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาเช่นกัน<br />
<br />
[1] <b>HARPS</b> (High Accuracy Radial velocity Planet Searcher)<br />
เป็นอุปกรณ์ค้นหาดาวเคราะห์ด้วยการสังเกตการกระตุกของดาวฤกษ์ดวงแม่ที่กำลังเคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้า<br />
<br />
[2] <b>ปีแสง</b> เป็นหน่วยของระยะทาง 1 ปีแสงคือระยะทางที่แสงใช้เวลาเดินทาง 1 ปี หรือประมาณ 9.46 × 10^12 กิโลเมตร<br />
<br />
[3] เป็นการแบ่งประเภทของดาว สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Stellar_classification">คลิกสำหรับภาษาอังกฤษ</a> หรือ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C">คลิกสำหรับภาษาไทย</a><br />
<br />
ที่มา: <a href="http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-23032467">http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-23032467</a>Parin Tanawonghttp://www.blogger.com/profile/10726135057809136312noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-5756835054182915952013-06-06T13:55:00.000+07:002013-06-07T11:05:34.887+07:00น่าซ่ายืนยัน! ไปดาวอังคารเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEb7msL3ZuYbKaYHwHyPMsLsZbu_ZQ86RgW-qib13RWb6srGCSAl4NwZnv5OoPoY3BIXA111mtl7zlnM_W9odnYo530zfPdRdPtQVRYmzPHpma6RzB-iB2z6pfgvrSvv6zYXsFVVzpeAI/s1600/20040824_Humans_on_Mars_END-full-580x326.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEb7msL3ZuYbKaYHwHyPMsLsZbu_ZQ86RgW-qib13RWb6srGCSAl4NwZnv5OoPoY3BIXA111mtl7zlnM_W9odnYo530zfPdRdPtQVRYmzPHpma6RzB-iB2z6pfgvrSvv6zYXsFVVzpeAI/s1600/20040824_Humans_on_Mars_END-full-580x326.jpg" height="356" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">Credit: NASA </td></tr>
</tbody></table>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="text-align: -webkit-auto;">ล่าสุดทีมนักวิจัยนาซ่าได้วิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์ตรวจวัด RAD (Radiation Assessment Detector) ซึ่งถูกติดตั้งไว้กับหุ่นสำรวจ Curiosity [1] โดยพบว่าระหว่าง 253 วันของการเดินทางสู่ดาวอังคาร รังสีที่ RAD ตรวจจับได้นั้นเกินขีดความปลอดภัย ทำให้แผนของนาซ่าที่จะส่งมนุษย์อวกาศไปยังดาวอังคารไม่เกินปี 2039 ต้องถูกทบทวนใหม่ </span></div>
<br style="text-align: -webkit-auto;" />
<span style="text-align: -webkit-auto;">ผลวิเคราะห์ได้เน้นย้ำว่ารังสีที่ต้องเผชิญมีอยู่ 2 รูปแบบ แบบแรกคือรังสี (อนุภาคพลังงานสูง) จากพายุสุริยะ (solar storm) ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ RAD ตรวจพบช่วงที่ปริมาณรังสีพุ่งสูงอย่างกระทันหัน 5 ครั้ง โดยมีสาเหตุมาจากเปลวสุริยะ (solar flare) อย่างไรก็ตามแม้ว่ารังสีชนิดนี้จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์อวกาศ แต่มันก็มีปริมาณเพียง 5% ของรังสีทั้งหมดเท่านั้น </span><br />
<br style="text-align: -webkit-auto;" />
<span style="text-align: -webkit-auto;">ปัญหาหลักกว่า 95 % ซึ่ง RAD ตรวจจับได้คือรังสีคอสมิกที่มาจากนอกระบบสุริยะ (Galactic Cosmic Rays: GCRs) ซึ่งคืออนุภาคพลังงานสูงที่ถูกเร่งจากกระบวนการอื่นภายในกาแลกซี่ทางช้างเผือกของเรา [2] อนุภาคเหล่านี้เกิดจากซากการระเบิดของดาวที่ตายแล้ว (supernova remnants) [3] และมีพลังงานสูงกว่าอนุภาคที่ปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์มาก นอกจากนี้รังสีคอสมิกยังมีอยู่สม่ำเสมอ... ในทุก ๆ วัน พวกมันจะพุ่งชนยานอวกาศหรือแม้แต่มนุษย์อวกาศเกือบตลอดเวลา </span><br />
<br style="text-align: -webkit-auto;" />
<span style="text-align: -webkit-auto;">เมื่อลองคำนวนปริมาณรังสีที่มนุษย์อวกาศจะได้รับหากเดินทางไปดาวอังคาร (สมมติว่าใช้เวลาเดินทางใกล้เคียงกับ Curiosity) ปริมาณรังสีที่พวกเขาจะได้รับภายใน 6 เดือนจะสูงกว่าที่มนุษย์บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ได้รับถึง 3 เท่า (กราฟที่ 1) ยิ่งเมื่อพิจารณาการเดินทางไป-กลับ แน่นอนว่าปริมาณรังสีนั้นเกินขีดความปลอดภัยที่นาซ่ากำหนดไว้ และมีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง (นี่ยังไม่นับรวมถึงรังสีที่ได้รับขณะที่พวกเขาอยู่บนดาวอังคาร) </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiT4fGCRK_fGoE74-B8pSCtDqIf5ciKih_0j1o4YIUzdSnNo8j4xw1rTBxiIG60uvqBQvMf5RFJabfun2TIQOhSGSQuvOdC1ZZETsHZqioZ86h6kTwr8Tyfch8PzxV2NeOCRGEMgc_rMNE/s1600/752266main_pia17061-43_1600-1200_2-580x518.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiT4fGCRK_fGoE74-B8pSCtDqIf5ciKih_0j1o4YIUzdSnNo8j4xw1rTBxiIG60uvqBQvMf5RFJabfun2TIQOhSGSQuvOdC1ZZETsHZqioZ86h6kTwr8Tyfch8PzxV2NeOCRGEMgc_rMNE/s1600/752266main_pia17061-43_1600-1200_2-580x518.jpg" height="355" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">กราฟที่ 1 (Credit: NASA/JPL-Caltech/SwRI)</td></tr>
</tbody></table>
<div>
ปัจจุบันเรามีวิธีป้องกันอนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์โดยให้มนุษย์อวกาศสวมชุดพิเศษหรือใช้แทงก์น้ำของยานเป็นตัวกำบัง (shielding) แต่การป้องกันรังสีคอสมิกต้องอาศัยตัวกำบังที่เนื้อแน่นและมีความหนาหลายเมตร ซึ่งตัวกำบังดังกล่าวยังเป็นไปไม่ได้สำหรับยานอวกาศในยุคนี้เพราะจะทำให้ยานมีน้ำหนักมากจนไม่สามารถปล่อยขึ้นฟ้าได้ <br />
<br />
ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นปรับปรุงตัวกำบังรังสีให้เบากว่าเดิม หรือพัฒนาตัวขับเคลื่อนยานให้มนุษย์อวกาศถึงจุดหมายเร็วขึ้นเพื่อย่นระยะเวลาที่ต้องเผชิญรังสี ทั้งสองแนวทางอยู่ระหว่างการค้นคว้าวิจัยโดยนาซ่า เมื่อพิจารณาแผนการเดิมที่จะส่งมนุษย์ไปดาวอังคารในช่วงปี 2030 – 2039 พวกเขายังคงมีเวลาเตรียมตัวกว่า 20 ปี [4] ซึ่งในระหว่าง 20 ปีนี้พวกเราคงได้เห็นเทคโนโลยียุคใหม่เกี่ยวกับการบินอวกาศแน่ ๆ <br />
<br />
<br />
<i>[1] Curiosity คือหุ่นสำรวจดาวอังคารตัวล่าสุด (Mars Science Laboratory Rover) เดินทางถึงดาวอังคารเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012 <br /> <br />[2] รังสีคอสมิกถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1912 ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบว่ารังสีคอสมิกแท้จริงแล้วคืออนุภาคพลังงานสูง ประมาณ 90% คือโปรตอน ที่เหลืออีก 10% คืออิเล็กตรอนและนิวคลีออนของธาตุอื่น ๆ <br /> <br />[3] เมื่อดวงดาวเกิดการระเบิดที่เรียกว่า "ซุปเปอร์โนวา (supernova)” แรงของการระเบิดทำให้ก๊าซถูกผลักดันขยายตัวด้วยความเร็วสูง ก๊าซจะถูกอัดกันตรงผิวชั้นหน้าเกิดเป็นคลื่นกระแทก (shock wave) ซึ่งสร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสูงขึ้นมา เมื่อโปรตอนเดินทางผ่านสนามแม่เหล็กตรงหน้าคลื่นกระแทก พลังงานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1% โปรตอนบางตัวเดินทางกลับไปกลับมาหลายร้อยครั้งก่อนจะข้ามชั้นหน้าของก๊าซออกไปได้ ทำให้พลังงานและความเร็วถูกเร่งสูงขึ้นมาก เป็นที่มาของอนุภาคพลังงานสูงหรือรังสีคอสมิก ซากการระเบิดของดาว (supernova remnants) จึงเป็นเสมือนเครื่องเร่งอนุภาคในอวกาศนั่นเอง <br /> <br />[4] นอกจากนาซ่า ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่วางแผนจะส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร เช่น Mars One และ Inspiration Mars Foundation </i><br />
<br />
<b>เรียบเรียงจาก: www.guardian.co.uk<br /><br />บทความที่เกี่ยวข้อง:</b><br />
<div style="margin-bottom: 0in;">
</div>
<ul>
<li><span style="color: #0e0e0e; font-family: Arial Unicode MS, sans-serif;"><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2013/02/mars-500.html" target="_blank">MARS-500 เผย... เดินทางไปดาวอังคารอาจทำให้นอนไม่หลับและขาดสมาธิ</a></span></li>
<li><span style="color: #0e0e0e; font-family: Arial Unicode MS, sans-serif;"><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/10/blog-post_24.html" target="_blank">สร้างฐานบนดาวอังคารด้วย "การสังเคราะห์ชีวภาพ"</a></span></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/08/360-panorama-curiosity.html" target="_blank"><span style="color: #1e62b6;">ภ</span>าพดาวอังคารแบบ 360 panorama โดย Curiosity</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/08/curiosity.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">Curiosity ถึงที่หมาย... พร้อมส่งภาพสีใบแรก</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/07/curiosity-1.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">Curiosity: 1 เดือนสุดท้ายก่อนแตะพื้นดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://www.bkkplanetarium.blogspot.com/2012/03/curiosity.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">"Curiosity" มุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/02/blog-post_25.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">เมนูของหวานจากดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2011/12/blog-post_20.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">ความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคาร</a></li>
</ul>
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-36334673320405070772013-05-30T13:31:00.000+07:002013-06-26T09:26:20.559+07:00เรื่องราวของดาวเคราะห์น้อย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYheQioTdaWUpGp6ltcqqHXJ-lkIzQzJ3Yl3KL6ojau9n4WiEs2RXPnCjBJcCRqfsq0AsbJjgSRtIFbq5ppdvJd2Od4x9ls78QgNbKHgqjmxpgJG04OdmWPft7Cuxydl0uOvh0zRpS_SE/s1600/asteroids.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYheQioTdaWUpGp6ltcqqHXJ-lkIzQzJ3Yl3KL6ojau9n4WiEs2RXPnCjBJcCRqfsq0AsbJjgSRtIFbq5ppdvJd2Od4x9ls78QgNbKHgqjmxpgJG04OdmWPft7Cuxydl0uOvh0zRpS_SE/s1600/asteroids.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
“ดาวเคราะห์น้อย (asteroid)” คือก้อนหินอวกาศที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วระบบสุริยะ ส่วนมากจะอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีตรงบริเวณที่เรียกว่า “แถบดาวเคราะห์น้อย (asteroid belt)” ก้อนหินอวกาศเหล่านี้คือเศษซากที่หลงเหลือจากการก่อตัวของระบบสุริยะ นักดาราศาสตร์สนใจที่จะศึกษาและเฝ้าสังเกตดาวเคราะห์น้อยก็เพราะนอกจากพวกมันอาจเป็นภัยคุกคามต่อโลกแล้ว... ดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้ยังอาจช่วยเปิดเผยเรื่องราวสำคัญของระบบสุริยะในยุคแรกเริ่มได้ <br />
<br />
ก้อนหินอวกาศภายในระบบสุริยะมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงไม่กี่เมตรไปจนถึงดาวเคราะห์น้อย Ceres ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 950 กิโลเมตร [1] อย่างไรก็ตามขนาดปรากฏของดาวเคราะห์น้อยจะเล็กมากเมื่อสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์บนโลก จนบางครั้งยากต่อการตรวจพบ <br />
<br />
องค์การนาซ่าได้แบ่งดาวเคราะห์น้อยออกเป็น 3 กลุ่มตามแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ คือ ประเภท C-type (คาร์บอน), S-type (สารประกอบซิลิกา), และ X-type (ธาตุต่าง ๆ ปะปนกัน) กว่า 75 เปอร์เซ็นต์คือประเภท C-type ซึ่งเคลื่อนที่บริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยรอบนอก พวกมันมีสีทึบหรือมองดูมืดที่สุด (สะท้อนแสงได้น้อยมาก) และแทบจะไม่มีองค์ประกอบของธาตุเบา เช่น ฮีเลียม หรือไฮโดรเจน ส่วนอีก 17 เปอร์เซ็นต์คือประเภท S-type ซึ่งมองดูเป็นสีเทา (สะท้อนแสงปานกลาง) พบได้ทั่วไปบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยชั้นใน และที่เหลือคือประเภท X-type โดยจะมองดูสว่างที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์น้อยทั้ง 3 ประเภท (สะท้อนแสงได้มากสุด)<br />
<br />
ขณะที่ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่เคลื่อนที่อยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี บางส่วนถูกรบกวนด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดี หรือชนกันเองทำให้เคลื่อนที่เข้าใกล้โลก นักดาราศาสตร์แบ่งดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกออกเป็น 3 ชนิด ชนิดแรกคืออามัวส์ Amors ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ภายในวงโคจรของดาวอังคาร (หรืออาจตัดวงโคจรของดาวอังคาร) แต่ยังอยู่นอกวงโคจรของโลก ชนิดที่ 2 คืออพอลโลส์ Apollos ซึ่งมีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลก มีระยะกึ่งแกนเอกมากกว่า 1 AU ส่วนชนิดที่ 3 คือเอเธนส์ (Atens) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรตัดผ่านวงโคจรของโลกเช่นเดียวกับชนิดอพอลโลส์ แต่มีความยาวครึ่งแกนเอกน้อยกว่า 1 AU องค์การอวกาศจากทั่วโลกได้ค้นพบดาวเคราะห์น้อยทั้ง 3 ชนิดนี้หลายพันดวงด้วยกันในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา <br />
<br />
นักดาราศาสตร์เชื่อว่าดาวเคราะห์น้อยดวงเล็กก็มีศักยภาพในการทำลายล้างสูง ย้อนกลับไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อน วัตถุขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 10 กิโลเมตรจากห้วงอวกาศได้พุ่งชนแมกซิโกเป็นเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชาวรัสเซียกว่าร้อยคนได้รับบาดเจ็บเนื่องมาจากก้อนหินอวกาศขนาดเพียง 17 เมตรที่เกิดระเบิดในชั้นบรรยากาศโลก <br />
<br />
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราคงมีความเข้าใจดาวเคราะห์น้อยมากยิ่งขึ้น ยานอวกาศภายใต้โครงการ Dawn Mission ได้ทำการสำรวจดาวเคราะห์น้อย Vesta ในปี ค.ศ. 2011 ขณะนี้ยานดังกล่าวอยู่ระหว่างการเดินทางสู่ดาวเคราะห์น้อย Ceres และในปี 2016 ยานสำรวจ OSIRIS-REx จะเดินทางไปยังดาวเคราะห์น้อย 1999 RQ36 (ชนิดอพอลโลส์) และทำการเก็บตัวอย่างพื้นผิวกลับมาทำการวิเคราะห์ในห้องแลปบนโลกภายในปี 2023 นอกจากนี้ดาวเคราะห์น้อยยังเป็นความท้าทายสำหรับหลาย ๆ องค์กรที่จะบุกเบิกธุรกิจทำเหมืองแร่อีกด้วย [2] <br />
<br />
<div>
[1] Ceres คือดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่สุดในระบบสุริยะเท่าที่มีการค้นพบ ณ ปัจจุบัน</div>
<div>
[2] อ่านเพิ่มเติม: <a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/09/4.html" target="_blank">การทำเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อย</a></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>เรียบเรียงจาก: </b><b>www.spaceanswers.com</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<!-- Blogger automated replacement: "https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYheQioTdaWUpGp6ltcqqHXJ-lkIzQzJ3Yl3KL6ojau9n4WiEs2RXPnCjBJcCRqfsq0AsbJjgSRtIFbq5ppdvJd2Od4x9ls78QgNbKHgqjmxpgJG04OdmWPft7Cuxydl0uOvh0zRpS_SE/s1600/asteroids.jpg" with "https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYheQioTdaWUpGp6ltcqqHXJ-lkIzQzJ3Yl3KL6ojau9n4WiEs2RXPnCjBJcCRqfsq0AsbJjgSRtIFbq5ppdvJd2Od4x9ls78QgNbKHgqjmxpgJG04OdmWPft7Cuxydl0uOvh0zRpS_SE/s1600/asteroids.jpg" --><!-- Blogger automated replacement: "https://images-blogger-opensocial.googleusercontent.com/gadgets/proxy?url=http%3A%2F%2F4.bp.blogspot.com%2F-2p6iHybHQdM%2FUabsOv7DeyI%2FAAAAAAAAAkA%2FBZGVgfl3ya8%2Fs1600%2Fasteroids.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*" with "https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYheQioTdaWUpGp6ltcqqHXJ-lkIzQzJ3Yl3KL6ojau9n4WiEs2RXPnCjBJcCRqfsq0AsbJjgSRtIFbq5ppdvJd2Od4x9ls78QgNbKHgqjmxpgJG04OdmWPft7Cuxydl0uOvh0zRpS_SE/s1600/asteroids.jpg" -->แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-22545693908801253382013-03-07T13:33:00.000+07:002013-06-04T16:03:09.202+07:00ชมวิดีโอ Space Lecture ครั้งที่ 6 "Understanding Solar Storms: เข้าใจพายุสุริยะแบบนักวิทยาศาสตร์"<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_F6kEiPl6BoOGUmMxw2qFCRxmDGmuK6drra_pVw33K3msjTdNzTUXY8_fLOIfYrv9u1G3SfeUJXOiSQFGCNApiR1nxPP7_cFFGOOijW0AttKCEv3LMcPh6CGVFEtHeNMXZBobJP-fp0I/s1600/SL6.png" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_F6kEiPl6BoOGUmMxw2qFCRxmDGmuK6drra_pVw33K3msjTdNzTUXY8_fLOIfYrv9u1G3SfeUJXOiSQFGCNApiR1nxPP7_cFFGOOijW0AttKCEv3LMcPh6CGVFEtHeNMXZBobJP-fp0I/s1600/SL6.png" height="368" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
ท่านสามารถรับชมคลิปวิดีโอการบรรยายพิเศษโครงการ Space Lecture ครั้งที่ 6 ได้แล้วที่นี่</div>
<div style="text-align: center;">
<br />
<a name='more'></a></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
Part 1/2</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/VrhVJe0RZUQ?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
Part 2/2</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/KXK81znRyQs?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-53033680461270889792013-02-21T12:03:00.001+07:002013-06-03T10:50:35.930+07:00MARS-500 เผย... เดินทางไปดาวอังคารอาจทำให้นอนไม่หลับและขาดสมาธิ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBR4rjm3U0FcdcQYro2Qii3wmqlG1NU3q_1Ndz0SIEhWDCbgvZSymmZPDBRkH4IMWSaopvIhcIlhVzzCCo_d_dPdoMlpySK5shqRXHeVVgqXqUSFrovOv03WJ52YvG4xvvlfQy-fwy_mc/s1600/img_0223-300.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBR4rjm3U0FcdcQYro2Qii3wmqlG1NU3q_1Ndz0SIEhWDCbgvZSymmZPDBRkH4IMWSaopvIhcIlhVzzCCo_d_dPdoMlpySK5shqRXHeVVgqXqUSFrovOv03WJ52YvG4xvvlfQy-fwy_mc/s1600/img_0223-300.jpg" height="305" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ห้องภายในยานอวกาศจำลองโครงการ MARS-500 (ภาพจาก NewScientist)</td></tr>
</tbody></table>
เนื่องจากองค์การนาซ่าวางแผนจะส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคารในช่วงปี ค.ศ. 2030 เรื่องของผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อตัวนักเดินทางที่จะต้องท่องไปในอวกาศอันเวิ้งว้างจึงกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์โครงการ MARS-500 ได้เปิดเผยผลการวิจัยว่ามนุษย์อวกาศที่จะเดินทางไปดาวอังคารอาจต้องเผชิญกับการนอนไม่หลับและเสี่ยงต่อการขาดสมาธิในการทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง <br />
<a name='more'></a>งานวิจัยยังชี้ว่าการจำลองสภาพภายในยานให้คล้ายกับสภาวะที่คุ้นเคยบนโลกเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อความสำเร็จของภารกิจตะลุยดาวอังคาร <br />
<br />
โครงการ MARS-500 เป็นความร่วมมือของรัสเซีย ยุโรป และจีน ซึ่งได้มีการสร้างห้องยานอวกาศจำลองที่ Institute of Biomedical Problems (IBMP) กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย โดยให้อาสาสมัครใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นด้วยทรัพยากรที่จำกัดตัดขาดจากโลกภายนอก 520 วัน และไม่ได้รับแสงจากธรรมชาติเลย นอกจากนี้การสื่อสารระหว่างพวกเขากับสถานีสมมติภาคพื้นดินก็ถูกทำให้ล่าช้าเช่นเดียวกับสถานการณ์จริงด้วย พวกเขาจะต้องทำการทดสอบต่าง ๆ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น ทดสอบปฏิกิริยาตอบสนอง หรือวัดการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทั้งหมดก็เพื่อศึกษา/เก็บข้อมูลไว้ใช้คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทางไปดาวอังคารต่อไป <br />
<br />
อย่างไรก็ตามยานอวกาศจำลองในโครงการ MARS-500 ไม่ได้อยู่ภายใต้สภาวะไร้น้ำหนัก และไม่ได้มีการจำลองรังสีแบบเดียวกับที่นักบินอวกาศจริงต้องเผชิญ <br />
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>เรียบเรียงจาก: Focus Magazine (March 2013)</b></div>
<div>
<br /></div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-4197534071384009482013-02-11T13:15:00.001+07:002013-06-03T10:59:25.920+07:00“ดาวเคราะห์คล้ายโลก” อยู่ไม่ไกลอย่างที่คิด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQPkrV8oNol8bc1SZVOKGEjcTpJmz-X9syoZ4uXuls8XLBDNQ8v7Vha6-lj_CPuXlqhnwvxFdJi6Q5yAcmgX9yuuozjtbDoqrIGxv7bBFok3e3KQGREMwkvDoC2AL82qK27PrllEyqeW4/s1600/hires-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQPkrV8oNol8bc1SZVOKGEjcTpJmz-X9syoZ4uXuls8XLBDNQ8v7Vha6-lj_CPuXlqhnwvxFdJi6Q5yAcmgX9yuuozjtbDoqrIGxv7bBFok3e3KQGREMwkvDoC2AL82qK27PrllEyqeW4/s1600/hires-2.jpg" height="234" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ภาพจำลองดาวเคราะห์คล้ายโลกโคจรรอบดาวแคระแดง Credit: David A. Aguilar (CfA)</td></tr>
</tbody></table>
<div class="separator" style="clear: both;">
ทีมนักวิจัยจาก Havard-Smithsonian Center for Astrophysics (CfA) ค้นพบว่าดาวเคราะห์คล้ายโลกสามารถเป็นบริวารของดาวแคระแดง [1] ในทำนองเดียวกับที่เป็นบริวารของดาวฤกษ์ทั่วไปได้ ซึ่งดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารดาวแคระแดงเหล่านี้บางดวงมีพื้นผิวแข็ง มีขนาดใกล้เคียงกับโลก และดวงที่ใกล้ที่สุดอาจอยู่ห่างจากพวกเราเพียงประมาณ 13 ปีแสงเท่านั้น</div>
<a name='more'></a><br />
แม้ว่าแสงที่ส่องออกมาจากดาวแคระแดงนั้นมืดมัวและริบหรี่เกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ดาวประเภทนี้มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมด (รูปที่ 1) นักดาราศาสตร์จึงเชื่อว่าในกาแลกซี่ทางช้างเผือกของเรานั้นมีดาวเคราะห์คล้ายโลกจำนวนมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqfhdPJIoJymxqp_03V7rgZQ_PuJ_-sMyLmPyYdB_dgMxzjJWmOyxHW6Uk_rsAzOsfiQorSUr8qakE0Hx5sjuYWAaaRLQE_Y2y89rLwQ1dTXX8ImnCHFa7OEnlFrDcIWUTL7D2A_oQl8w/s1600/Untitled.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqfhdPJIoJymxqp_03V7rgZQ_PuJ_-sMyLmPyYdB_dgMxzjJWmOyxHW6Uk_rsAzOsfiQorSUr8qakE0Hx5sjuYWAaaRLQE_Y2y89rLwQ1dTXX8ImnCHFa7OEnlFrDcIWUTL7D2A_oQl8w/s1600/Untitled.jpg" height="232" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ภาพดาวฤกษ์ทั่วไป (ซ้าย) กับดาวแคระแดงที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า (ขวา) Credit: D. Aguilar & C. Pulliam (CfA)</td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: left;">
เงื่อนไขสำหรับดาวเคราะห์คล้ายโลกกรณีนี้ไม่เหมือนกรณีของโลกซะทีเดียว เนื่องจากดาวแคระแดงมีอุณหภูมิต่ำ ดาวเคราะห์บริวารจะต้องโคจรใกล้พวกมันมากกว่าปกติจึงจะอยู่ภายใต้ “เขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ (habitable zone) [2]” และต้องมีชั้นบรรยากาศหนาเพียงพอสำหรับกักเก็บความร้อนและป้องกันอันตรายจากการระเบิดของดาว (stellar outbursts) </div>
<br />
CfA ได้ทำการศึกษาดาวเคราะห์ 95 ดวงที่เป็นบริวารดาวของแคระแดง พบว่ามี 3 ดวงที่โคจรอยู่ในเขต habitable zone หรืออยู่ในระยะซึ่งอุ่นเพียงพอที่พื้นผิวดาวจะสามารถคงสภาพน้ำในสถานะของเหลวได้ ดาวเคราะห์ทั้ง 3 มีขนาด 0.9, 1.4 และ 1.7 เท่าของโลก โคจรรอบดาวแคระแดงอุณหภูมิ 5,700 – 5,900 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 3/5 ของอุณหภูมิดวงอาทิตย์ 10,000 องศาฟาเรนไฮต์) <br />
<br />
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ เนื่องจากดาวแคระแดงเผาผลาญพลังงานในอัตราที่ต่ำ จึงสามารถมีอายุอยู่ได้ยาวนานกว่าดวงอาทิตย์มาก เราอาจเจอโลกที่มีอายุกว่าหนึ่งหมื่นล้านปีเป็นดาวบริวารของดาวแคระแดง และแน่นอนว่าหากมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นย่อมมีโอกาสที่จะวิวัฒนาการได้ยาวนานกว่าบนโลกมากนัก การค้นพบครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ใน <a href="http://www.cfa.harvard.edu/news/2013/dressing+charbonneau2013.pdf" target="_blank">The Astrophysicsl Journal </a><br />
<div>
<a href="http://www.cfa.harvard.edu/news/2013/dressing+charbonneau2013.pdf" target="_blank"></a><br />
<br />
<i>[1] ดาวแคระแดง (Red Dwarf) เป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็ก อุณหภูมิต่ำ มีมวลน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของมวลดวงอาทิตย์<br /><br />[2] ปัจจัยหลักในการกำหนดให้บริเวณใดเป็น habitable zone คือดาวเคราะห์คล้ายโลกบริเวณนั้นจะต้องสามารถมีน้ำในสภาพของเหลวบนพื้นผิวดาวได้ </i><br />
<div>
<i><br /></i></div>
<div>
<i><b>เรียบเรียงจาก: </b></i></div>
<div>
<ul>
<li><a href="http://www.universetoday.com/" target="_blank">www.universetoday.com</a></li>
<li><a href="http://www.cfa.harvard.edu/news/2013/pr201305.html" target="_blank">http://www.cfa.harvard.edu/news/2013/pr201305.html</a></li>
</ul>
</div>
<div>
<br /></div>
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-4016231928031848972013-01-30T12:22:00.000+07:002013-01-30T12:36:49.819+07:0015 กุมภาพันธ์ 2556 ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYT7sF0zJCG7q0nugms69sQPQ7S09f7d5_-_u-b88qrL6gVsmNbD-S9PxxNKhDa3-kpAjmOmMrO-UQhU1uOrdd0a43vMz2yjhkHlDpNnXN1dGqJIAdCe6XeezeT8TtGtsfECpvuA89BaA/s1600/2012da14.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYT7sF0zJCG7q0nugms69sQPQ7S09f7d5_-_u-b88qrL6gVsmNbD-S9PxxNKhDa3-kpAjmOmMrO-UQhU1uOrdd0a43vMz2yjhkHlDpNnXN1dGqJIAdCe6XeezeT8TtGtsfECpvuA89BaA/s1600/2012da14.jpg" height="396" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ภาพจาก JPL/NASA</td></tr>
</tbody></table>
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ดาวเคราะห์น้อยชื่อ 2012-DA14 ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 45 เมตร จะเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โลกมากที่สุดด้วยความเร็วประมาณ 8 กิโลเมตรต่อวินาที โดยจะอยู่ห่างจากพื้นผิวโลกเพียง 27,680 กิโลเมตร เท่านั้น หรือที่ระยะห่างจากโลกน้อยกว่าวงโคจรของดาวเทียมสื่อสารและดาวเทียมเตรียมตรวจวัดสภาพอากาศ [1]<br />
<br />
<a name='more'></a>ดาวเคราะห์น้อย 2012-DA14 จะเคลื่อนที่จากฟากฟ้ายามเย็นซีกใต้ไปยังฟากฟ้าช่วงเช้าซีกเหนืออย่างรวดเร็ว และ ณ เวลา 19:26 UTC ของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ดาวเคราะห์น้อยลูกนี้จะอยู่ใกล้โลกมากที่สุด โดยจะปรากฏให้เห็นสว่างใกล้เคียงกับดาวที่มีอันดับความสว่าง (Magnitude) ประมาณ 7 ซึ่งสามารถใช้กล้องโทรทรรศน์ทำการสังเกตการณ์ (มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)<br />
<br />
อย่างไรก็ตามดาวเคราะห์น้อย 2012-DA14 ไม่มีทางพุ่งเข้าชนโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านวงโคจรวัตถุใกล้โลกจากนาซ่า Don Yeomans ยืนยันว่าวงโคจรของมันถูกศึกษาอย่างดีพอจนได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่า 2012-DA14 จะไม่เป็นภัยต่อโลกแต่อย่างใด<br />
<br />
<br />
[1] ดาวเคราะห์น้อย 2012-DA14 จะเคลื่อนเข้ามาภายใน geosynchronous orbit ซึ่งคือวงโคจรที่มีระยะเวลาโคจรครบรอบเท่ากับเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง ดาวเทียมส่วนใหญ่เช่นดาวเทียมด้านการสื่อสารมักจะโคจรอยู่ใน geosynchronous orbit เพราะการเคลื่อนที่จะสอดคล้องกับการหมุนของโลก ทำให้สามารถเชื่อมโยงตำแหน่งที่แน่นอนในการรับ - ส่งสัญญาณระหว่างดาวเทียมบนฟ้าและสถานีบนโลกได้ตลอดเวลา geosynchronous orbit จะอยู่ที่ความสูงประมาณ 35,000 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก<br />
<br />
เรียบเรียงจาก:<br />
<div>
<ul>
<li><a href="http://www.universetoday.com/" target="_blank">www.universetoday.com</a></li>
<li><a href="http://neo.jpl.nasa.gov/news/news174.html" target="_blank">http://neo.jpl.nasa.gov/news/news174.html</a></li>
</ul>
<div>
<br /></div>
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-61398423544144549082013-01-24T19:44:00.000+07:002013-01-24T20:51:15.671+07:00MESSENGER ยืนยัน ขั้วเหนือของดาวพุธมี "น้ำแข็ง" <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3OjRuxZfc8rMu-ULOAk-KdgxUkPT3pg-a6TJ0stjpRLGi6hOjdz77dGBJGuT-p8rXgVNGh0MKUGW0QcUS_JupYsa50MeLptM543hyDE1Ifasy-IWCVActmfi3383A0gzanfaH6_B6ISM/s1600/mercury_north.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3OjRuxZfc8rMu-ULOAk-KdgxUkPT3pg-a6TJ0stjpRLGi6hOjdz77dGBJGuT-p8rXgVNGh0MKUGW0QcUS_JupYsa50MeLptM543hyDE1Ifasy-IWCVActmfi3383A0gzanfaH6_B6ISM/s1600/mercury_north.jpg" height="255" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="font-size: 13px;">รูปที่ 1: บริเวณขั้วเหนือของดาวพุธที่มืดมิดตลอดเวลาเพราะไม่มีแสงสว่างส่องไปถึง</td></tr>
</tbody></table>
ดาวพุธ (Mercury) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด กลางวันบนดาวพุธจึงร้อนจัด แต่กลางคืนจะหนาวจัดเพราะชั้นบรรยากาศเบาบางเสียจนไม่สามารถกักเก็บความร้อนจากช่วงกลางวันได้ ดาวพุธจะเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์โดยมีแกนหมุนตั้งฉากกับระนาบการโคจร ทำให้บริเวณขั้วเหนือของดาวพุธไม่มีโอกาสได้รับแสงสว่างเลย หรือมืดมิดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง (รูปที่ 1 และ 2)<br />
<a name='more'></a><br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEic1X0PTRh10l2Wq38YxWAvLBqZFnXc31BHJwkan-KnsDAvpWL4Okzml4pVO4YlTFWrWFAxzEWZQcG6cJ_cak8EXhyXma0yRthnSJtqOFBxSjitPgleSmnj5SVHkPbRi9LZv3uezhoK1ck/s1600/2vss00105.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEic1X0PTRh10l2Wq38YxWAvLBqZFnXc31BHJwkan-KnsDAvpWL4Okzml4pVO4YlTFWrWFAxzEWZQcG6cJ_cak8EXhyXma0yRthnSJtqOFBxSjitPgleSmnj5SVHkPbRi9LZv3uezhoK1ck/s1600/2vss00105.jpg" height="144" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">รูปที่ 2: ภาพแสดงแกนหมุนของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ (credit: Calvin J. Hamilton) </td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ใช้วิธีตรวจจับนิวตรอนเพื่อสำรวจขั้วเหนือของดาวพุธ โดยอาศัยอุปกรณ์ Neutron Spectrometer ที่ติดตั้งบนยาน MESSENGER [1] เมื่อนิวตรอนชนกับอะตอมของไฮโดรเจน นิวตรอนจะชะลอความเร็ว (หรือหยุดเคลื่อนที่) มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เคลื่อนที่ต่อไปได้ ดังนั้นการลดลงของปริมาณนิวตรอนที่ตรวจจับได้เมื่อยาน MESSENGER อยู่เหนือบริเวณขั้วเหนือเป็นตัวบ่งบอกว่าบริเวณนั้นมีปริมาณไฮโดรเจนสูง ซึ่งอาจจับตัวอยู่ในรูปของน้ำ<br />
<br />
อีกวิธีหนึ่งคือการวิเคราะห์ผลทางอ้อมด้วยการยิงคลื่นแสงเลเซอร์จากยาน MESSENGER เพื่อสังเกตการสะท้อน โดยพบว่าลักษณะการสะท้อนของพื้นผิวขั้วเหนือดาวพุธสอดคล้องกับการสะท้อนอันเนื่องมาจากน้ำแข็ง นอกจากนี้แบบจำลองด้านความร้อนซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยยาน MESSENGER ยังแสดงให้เห็นว่าบริเวณเงามืดดังกล่าวจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 50 เคลวินอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลักฐานที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจะต้องมีน้ำแข็งตรงขั้วเหนือของดาวพุธ<br />
<br />
<i>[1] ยาน MESSENGER เดินทางไปถึงดาวพุธเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 เป็นยานอวกาศลำแรก </i><br />
<div>
<i> ที่โคจรรอบดาวพุธ</i></div>
<div>
<br />
เรียบเรียงจาก: All About Space (No. 008)</div>
<div>
<br /></div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-20042501778725460972012-12-28T16:41:00.000+07:002012-12-28T16:41:34.547+07:00ประวัติย่อของ 'อาหารอวกาศ'<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiR_m3g7HpcjA0RsuhrZlrtU2yXKlo2xpxv8GSy0EaPlxZwcnaTwiEH7AMkfuYkP3fB-mVncRIu1jsckfYt4f4he5x20e8kYgnP-qXkPPG0IT1g1r88JXNlzfuHxKEsNS0SPB-F2zxBLTk/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiR_m3g7HpcjA0RsuhrZlrtU2yXKlo2xpxv8GSy0EaPlxZwcnaTwiEH7AMkfuYkP3fB-mVncRIu1jsckfYt4f4he5x20e8kYgnP-qXkPPG0IT1g1r88JXNlzfuHxKEsNS0SPB-F2zxBLTk/s1600/images.jpg" height="268" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><br /></td></tr>
</tbody></table>
<div>
แม้ว่าปัจจุบันอาหารอวกาศกับอาหารบนโลกมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ข้อแตกต่างประการสำคัญอยู่ที่การออกแบบภาชนะบรรจุ อาหารอวกาศจะต้องถูกบรรจุอย่างดีเพื่อไม่ให้ล่องลอยไปมาภายใต้สภาพแรงโน้มถ่วงที่น้อยมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อแผงวงจร หรืออุดตันช่องเปิดเล็ก ๆ บนยานได้ เครื่องดื่มเช่นชาและกาแฟ หรือแม้แต่อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำจำเป็นต้องถูกทำให้แห้ง (dehydrate) หรือทำให้เป็นผงก่อนที่จะนำขึ้นไปบนอวกาศ เมื่อถึงเวลารับประทานจึงค่อยเติมน้ำเพื่อคืนสภาพเดิม (rehydrate) แต่กว่าอาหารอวกาศจะถูกพัฒนามาถึงวันนี้ เราลองมาดูเรื่องราววิวัฒนาการของอาหารอวกาศตั้งแต่ยุคแรกเริ่มกัน...</div>
<div>
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjy2zEwxFL-OeTcn2RuPRlhyphenhyphenEixPOmlu-bkROzVy2dEBZXBeJpJt_jOXhurKCdFjbvjKsyJS8uUSWCPuSEem8X5gbUsD4kkavBr0iJ_RkJndXcFsYSMQQjKzx8pA1NC1PLim7PeuVtMh0Q/s1600/SpaceFoodMercury.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjy2zEwxFL-OeTcn2RuPRlhyphenhyphenEixPOmlu-bkROzVy2dEBZXBeJpJt_jOXhurKCdFjbvjKsyJS8uUSWCPuSEem8X5gbUsD4kkavBr0iJ_RkJndXcFsYSMQQjKzx8pA1NC1PLim7PeuVtMh0Q/s1600/SpaceFoodMercury.jpg" height="266" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ตัวอย่างอาหารอวกาศโครงการ Mercury และ Gemini ยุคปี 1961-1966 <br />(ภาพจาก camilla-corona-sdo.blogspot.com)</td></tr>
</tbody></table>
<div>
ในยุคแรกนักบินอวกาศไม่จำเป็นต้องพกอาหารติดตัวระหว่างปฏิบัติภารกิจเพราะต้องอยู่ในอวกาศเพียงไม่กี่นาที อย่างไรก็ตามช่วงต้นทศวรรษของปี 1960 นักบินอวกาศ John Glenn และลูกเรือภายใต้ Mercury Project [1] ถูกมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจที่ยาวนานขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการคิดค้นอาหารสำหรับรับประทานในอวกาศ โดยอาหารอวกาศยุคแรกจะมีลักษณะกึ่งของเหลวบรรจุอยู่ในภาชนะคล้ายหลอดยาสีฟัน นักบินอวกาศจะต้องบีบหลอดยาสีฟันนั้นและดูดอาหารผ่านหลอดดูด อาหารอวกาศอีกรูปแบบหนึ่งของยุคนี้คืออาหารที่ถูกทำให้แห้งและบีบอัดจนเป็นทรงลูกบาศก์ขนาดเหมาะกับการกินเป็นก้อน ๆ ซึ่งตัวอาหารจะคืนสภาพโดยน้ำลายภายในปากของมนุษย์อวกาศนั่นเอง</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ปี 1965 ภายใต้ภารกิจ Gemini มนุษย์อวกาศมีทางเลือกมากขึ้นสำหรับสิ่งที่พวกเขาจะรับประทาน เช่น ค๊อกเทลกุ้ง ไก่งวงชิ้น ครีมซุปไก่ และพุดดิ้งเนย ซึ่งล้วนถูกปรุงให้สุกและแช่แข็งอย่างรวดเร็วบนโลก หลังจากนั้นจึงนำเข้าสู่กระบวนการทำให้แห้งด้วยการแยกน้ำออกจากอาหารภายในห้องสุญญากาศ เมื่อถึงเวลารับประทานมนุษย์อวกาศจะใช้ปืนฉีดน้ำเพื่อฉีดน้ำคืนสภาพให้กับอาหารดังกล่าว<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy3g7CAKSgOGGDim0ddseVNipP8GTSUrP-k586-RpZjzJIVuvRI4lNSfZRFtC1DnkfgK7azXKuPEPKQhBFdjmGQwLsiFU1lTC0UxxsWwmYzmEgA6r5k94MerPb1LDrFzVSoq9ohI0C5Hs/s1600/SpaceFoodApollo.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy3g7CAKSgOGGDim0ddseVNipP8GTSUrP-k586-RpZjzJIVuvRI4lNSfZRFtC1DnkfgK7azXKuPEPKQhBFdjmGQwLsiFU1lTC0UxxsWwmYzmEgA6r5k94MerPb1LDrFzVSoq9ohI0C5Hs/s1600/SpaceFoodApollo.jpg" height="266" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ตัวอย่างอาหารอวกาศโครงการ Apollo ยุคปี 1968-1972<br />(ภาพจาก camilla-corona-sdo.blogspot.com)</td></tr>
</tbody></table>
ปี 1969 องค์การนาซ่า (NASA) ได้ส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ภายใต้โครงการ Apollo โดยได้มีการจัดเตรียมน้ำร้อนไว้บนยาน ทำให้การคืนสภาพอาหารเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น มนุษย์อวกาศโครงการ Apollo ยังเป็นมนุษย์อวกาศกลุ่มแรกที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใช้รับประทานอาหาร เช่น spoon bowl หรือชุดภาชนะพลาสติกสำหรับใส่อาหารแห้งพร้อมช้อน โดยหลังจากอาหารแห้งภายใน spoon bowl ถูกคืนสภาพด้วยน้ำ ความเปียกของอาหารจะช่วยยึดอาหารนั้นเข้ากับช้อนไม่ให้ล่องลอยออกไป อาหารใน spoon bowl จึงสามารถรับประทานด้วยช้อนได้เลยเมื่อถูกเปิด นอกจากนี้พวกเขายังมีอุปกรณ์ wet packs (ถุงพลาสติกหรืออลูมิเนียมฟอยล์ประสิทธิภาพสูง) ที่สามารถกักเก็บความชื้นได้ดี อาหารภายใน wet packs จึงไม่จำเป็นต้องถูกคืนสภาพก่อนรับประทาน เป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับมนุษย์อวกาศ ตัวอย่างเมนูอาหารของภารกิจ Apollo ประกอบด้วย เบคอน แซนวิชเนื้อ พุดดิ้งช็อกโกเลต สลัดทูน่า และเค้กผลไม้ เป็นต้น<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXSBCIVJsGwBz615gUYMnavvxz6EHzzU535wL2_9VaY8pj_-aRk2DiaLLysyjo7wW-vguAyQNqF_bZAW19eGeM2kVh-Q-kI6aMj2rMgZdO75dVL233PkR40qV9P-QFXD99ALEB9yVVKfM/s1600/SpaceFoodSkylabTray.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXSBCIVJsGwBz615gUYMnavvxz6EHzzU535wL2_9VaY8pj_-aRk2DiaLLysyjo7wW-vguAyQNqF_bZAW19eGeM2kVh-Q-kI6aMj2rMgZdO75dVL233PkR40qV9P-QFXD99ALEB9yVVKfM/s1600/SpaceFoodSkylabTray.jpg" height="266" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ตัวอย่างอาหารอวกาศโครงการ Skylab ยุคปี 1973-1974<br />(ภาพจาก camilla-corona-sdo.blogspot.com)</td></tr>
</tbody></table>
ปี 1973 วิธีการรับประทานอาหารในอวกาศดูคล้ายบนโลกมากขึ้น ภายใต้ภารกิจ Skylab [2] มนุษย์อวกาศมีห้องอาหารขนาดใหญ่พร้อมด้วยโต๊ะสำหรับนั่งรับประทาน นอกจากนี้ Skylab ยังมีตู้เย็นที่ทันสมัยซึ่งแม้แต่กระสวยอวกาศยุคใหม่ก็ยังไม่มี อาหารของ Skylab จึงมีความหลากหลายมากถึง 72 เมนู แถมในยานยังมีถาดให้ความร้อนไว้อุ่นอาหารก่อนรับประทานด้วย</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7nIY7OT5K1X7Hxb3tJcmhbemhOVVj8ezT471fFpIz_1ZoN9QWr578Php9IS4F8o_b_gLUG31DSA3Lp3j21AFjlCbeENjtK2Fh1yDjSIHNu3VcX5H9624FR2ofHKBCYAPbkWVDQDhWL70/s1600/food4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7nIY7OT5K1X7Hxb3tJcmhbemhOVVj8ezT471fFpIz_1ZoN9QWr578Php9IS4F8o_b_gLUG31DSA3Lp3j21AFjlCbeENjtK2Fh1yDjSIHNu3VcX5H9624FR2ofHKBCYAPbkWVDQDhWL70/s1600/food4.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">อาหารอวกาศยุคใหม่ (ภาพจาก NASA) </td></tr>
</tbody></table>
ต้นทศวรรษของปี 1980 เมื่อกระสวยอวกาศลำแรกทะยานขึ้นจากผิวโลก อาหารอวกาศถูกพัฒนาจนแทบจะไม่ต่างจากอาหารบนโลก มนุษย์อวกาศสามารถเลือกออกแบบเมนูอาหารของตนเองตลอด 7 วันใน 1 สัปดาห์จากอาหารทั้งหมด 74 ชนิดและเครื่องดื่มอีก 20 ชนิด พวกเขาสามารถเตรียมอาหารแต่ละมื้อในห้องครัวของยานที่มีทั้งก๊อกน้ำและเตาอบ และในปี 2006 เมื่อกระสวยอวกาศดดิสคัฟเวอร์รี่ถูกปล่อยขึ้นฟ้า นับเป็นจุดเปลี่ยนของอาหารอวกาศยุคใหม่อย่างชัดเจน เมื่อมีพ่อครัวชื่อดังอย่าง Emeril Lagasse มาช่วยออกแบบเมนูอาหารสำหรับมนุษย์อวกาศ เป็นการเพิ่มรสชาติและสีสันของอาหารอวกาศให้ใกล้เคียงกับอาหารบนโลก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO5Q8ofxY86SuWy0NQh6vOfDwBZSyeWpRAwQTTfXL0fcEdFmcAaKL8ho7F9KN2joLF28_YGmdcNKEPokRrGN2kAbwhhTI1yzZHvMnclOIQ8IryzzV3hQkDje1kldpEkJnIQgHn6b_yAfM/s1600/cola.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO5Q8ofxY86SuWy0NQh6vOfDwBZSyeWpRAwQTTfXL0fcEdFmcAaKL8ho7F9KN2joLF28_YGmdcNKEPokRrGN2kAbwhhTI1yzZHvMnclOIQ8IryzzV3hQkDje1kldpEkJnIQgHn6b_yAfM/s1600/cola.jpg" height="200" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">เครื่องดื่มอวกาศยุคใหม่ในสภาพของเหลว (ภาพจาก http://www.spacekids.co.uk/spacefood/)</td></tr>
</tbody></table>
นอกจากนี้เครื่องดื่มอวกาศยังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมนุษย์อวกาศสามารถดื่มน้ำอัดลมสภาพของเหลวที่ถูกบรรจุในกระป๋องควบคุมความดันได้อีกด้วย (ไม่ต้องคืนสภาพให้น้ำอัดลมก่อนดื่ม)<br />
<br />
[1] Mercury Project เป็นโครงการทดสอบการบินอวกาศในยุคแรก</div>
<div>
[2] Skylab เป็นสถานีอวกาศแห่งแรกของสหรัฐฯ <br /><br />
<br /><b>เรียบเรียงจาก: </b><br />http://science.howstuffworks.com/space-food.htm<br />http://camilla-corona-sdo.blogspot.com/2010/09/astro-munchies-its-out-of-this-world.html<br />http://www.spacekids.co.uk/spacefood/<br /><br /><br />
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-43375355488886922912012-11-30T23:09:00.000+07:002013-01-07T15:07:32.540+07:00ชมวิดีโอ Space Lecture ครั้งที่ 5 "Physics of Time Travel: ฟิสิกส์ของการเดินทางข้ามเวลา"<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjp7ASg6nvIflgy_dq6qCNJ2_N1w9nnpIfFY2ZSVKDvavuP0eMz44-preDdhLkASiH_Nhyphenhyphen82SeFZpxhqZcyVfpFzNtCmX53MnZ0sPL2OmdKi8ZUj5nyyT8sdolAUmyYvAteDJZKq-JcxMw/s1600/poster.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjp7ASg6nvIflgy_dq6qCNJ2_N1w9nnpIfFY2ZSVKDvavuP0eMz44-preDdhLkASiH_Nhyphenhyphen82SeFZpxhqZcyVfpFzNtCmX53MnZ0sPL2OmdKi8ZUj5nyyT8sdolAUmyYvAteDJZKq-JcxMw/s1600/poster.jpg" height="360" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
ท่านสามารถรับชมคลิปวิดีโอการบรรยายพิเศษโครงการ Space Lecture ครั้งที่ 5 ได้แล้วที่นี่</div>
<div style="text-align: center;">
<br />
<a name='more'></a></div>
<div style="text-align: center;">
Part 1/4</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/G4sikiH1xDo?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
Part 2/4</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/to6bheOvCzU?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
Part 3/4</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/08D6e1lM8c0?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
Part 4/4</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/JHsfbibhbnE?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2" target="_blank">ชมวิดีโอการบรรยาย Space Lecture ย้อนหลัง</a> <br />
<br />แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-49972709165079251862012-11-16T16:30:00.000+07:002012-11-18T21:28:16.538+07:00ฟังเพลงวิทยาศาสตร์ Symphony of Science<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3EVsc_D8bdENwXF8Jz0ARxjs1AlIUG_mCghG6yEAfd6xXn1Ke_mdBKUIog_EweVAISmPafT4e8btt0NWzQ5GJMUCQp_gfMDW0vAfdp0Bg4fLwfux_eoO56XhacTy8GPNsLA3YXfnFDok/s1600/Untitled.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3EVsc_D8bdENwXF8Jz0ARxjs1AlIUG_mCghG6yEAfd6xXn1Ke_mdBKUIog_EweVAISmPafT4e8btt0NWzQ5GJMUCQp_gfMDW0vAfdp0Bg4fLwfux_eoO56XhacTy8GPNsLA3YXfnFDok/s1600/Untitled.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
เปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเพลงสบาย ๆ กับ 3 บทเพลงวิทยาศาสตร์ </div>
<div style="text-align: center;">
จาก <a href="http://www.symphonyofscience.com/" target="_blank">www.symphonyofscience.com </a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
A Wave of Reason</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<object width="320" height="266" class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="https://ytimg.googleusercontent.com/vi/3ik_3enhEUY/0.jpg"><param name="movie" value="https://www.youtube.com/v/3ik_3enhEUY?version=3&f=user_uploads&c=google-webdrive-0&app=youtube_gdata" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><param name="allowFullScreen" value="true" /><embed width="320" height="266" src="https://www.youtube.com/v/3ik_3enhEUY?version=3&f=user_uploads&c=google-webdrive-0&app=youtube_gdata" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true"></embed></object></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
The Poetry of Reality</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/XUsyAzR-buI?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
The Case for Mars<br /><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/YxABcBkhR3g?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-44601110357880363962012-10-24T18:00:00.000+07:002012-10-24T18:17:41.052+07:00สร้างฐานบนดาวอังคารด้วย "การสังเคราะห์ชีวภาพ"<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihxIXDN4I3sYLSh0ehh55fUfBe0J3-2GGxc78xmGyocgRXWXJK-yuQpcsIO5vhdgshzu1bzfMsKI_I0Gqx0JNtvzXSQrPvsRAdm1x_4yrZJbuz_iubVF5uzfkOWQgZqjS7hbijVbl_rDc/s1600/mg21628855.100-1_300.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihxIXDN4I3sYLSh0ehh55fUfBe0J3-2GGxc78xmGyocgRXWXJK-yuQpcsIO5vhdgshzu1bzfMsKI_I0Gqx0JNtvzXSQrPvsRAdm1x_4yrZJbuz_iubVF5uzfkOWQgZqjS7hbijVbl_rDc/s1600/mg21628855.100-1_300.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">Image: Daniel Bayer/Polaris/Eyevine</td></tr>
</tbody></table>
การตั้งรกรากบนดาวเคราะห์อันห่างไกลจากโลกจำต้องพึ่งอาหาร เชื้อเพลิง และวัสดุแข็งสำหรับสร้างที่อยู่อาศัย แต่การขนส่งสิ่งของจำเป็นเหล่านี้โดยตรงจากโลกยังคงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องใช้พื้นที่มหาศาลของยานอวกาศรวมทั้งงบประมาณที่สูงลิ่ว อย่างไรก็ตามปัญหานี้อาจแก้ไขได้ด้วย “การสังเคราะห์ชีวภาพ” โดยให้มนุษย์อวกาศเดินทางไปพร้อมกับจุลินทรีย์ซึ่งมีน้ำหนักน้อยมาก และมีขนาดเล็กมากจนแทบไม่กินพื้นที่บนยานอวกาศเลย เมื่อยานไปถึงจุดหมาย... จุลินทรีย์เหล่านี้ (ซึ่งต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้) จะถูกเลี้ยงให้เพิ่มจำนวนบนดาวเคราะห์ดวงใหม่ และผลิตผลที่เกิดจากจุลินทรีย์นี่เองจะถูกใช้เป็นอาหาร แหล่งเชื้อเพลิง และอิฐบล็อกสำหรับก่อสร้างที่พักพิงบนนั้น <br />
<br />
ปัจจุบัน NASA กำลังสานฝันนี้ให้เป็นจริงภายใต้โครงการ Synthetic Biology Initiative ก้อนชีวภาพบรรจุยีนที่เรียกว่า “Biobricks” จะถูกสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนจุลินทรีย์ให้มีลักษณะจำเพาะ เช่น กระตุ้นให้แบคทีเรียสร้างโมเลกุลที่ทนความหนาวเหน็บได้ เป็นต้น ดังนั้น Biobricks จึงเปรียบเสมือนต้นแบบคุณลักษณะที่ต้องการซึ่งสามารถนำไปใส่ในจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียเพื่อเพิ่มลักษณะเฉพาะนั้น ๆ ให้กับพวกมัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ผลผลิตของพวกมันเป็นวัตถุดิบสำหรับดำรงชีวิตในอวกาศระยะยาว <br />
<br />
ยกตัวอย่างดาวอังคารซึ่งมีชั้นบรรยากาศปกคลุมไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจน จุลินทรีย์ส่วนใหญ่ของโลกจะตายเมื่ออยู่บนนั้น ยกเว้นบางจำพวกเช่น<i> Anabaena </i>ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการเปลี่ยนก๊าซหลักทั้งสองของดาวอังคารเป็นน้ำตาล เพียงแค่มีการปรับสภาวะให้อบอุ่นและมีตัวป้องกันรังสี ultraviolet เท่านี้ <i>Anabaena </i>ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายบนดาวอังคาร <br />
<br />
อย่างไรก็ตามน้ำตาลที่ <i>Anabaena</i> ผลิตได้นั้นจะถูกตัวมันเองใช้เป็นพลังงานไปทั้งหมด นักชีววิทยาจาก Brown University และ Stanford University ได้ทดลองตัดต่อยีนโดยนำยีนที่ผลิตน้ำตาลจากเชื้อ <i>E. Coli</i> ไปใส่ใน <i>Anabaena </i>เพื่อให้ <i>Anabaena</i> สามารถสร้างน้ำตาลในปริมาณที่สูงขึ้น พวกเขาพบว่าน้ำตาลที่ได้นั้นมากเพียงพอสำหรับเลี้ยง colony ของแบคทีเรียชนิดอื่นด้วย วิธีนี้อาจเป็นทางเลือกหนึ่งของการสร้างแหล่งอาหารระหว่างปฏิบัติภารกิจอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกจากนี้ในทางทฤษฎี colony ของแบคทีเรียยังสามารถให้ผลผลิตเป็นน้ำมัน พลาสติก หรือแม้แต่เชื้อเพลิงสำหรับมนุษย์อวกาศ <br />
<br />
ส่วนกรณีของการสร้างที่อยู่อาศัยนอกโลก Andre Burnier จาก Brown University ได้จำลองสภาพแวดล้อมของดาวอังคารและใช้แบคทีเรีย<i> Sporosarcina pasteurii </i>ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถเปลี่ยนยูเรียให้เป็นแอมโมเนีย ส่งผลให้สภาพแวดล้อมโดยรอบมีความเป็นด่างเพียงพอที่จะเกิด calcium carbonate หรือหินปูน อาจกล่าวได้ว่าของเสียจากมนุษย์อวกาศ (เช่นยูเรียในปัสสาวะ) สามารถใช้เลี้ยง <i>Sporosarcina pasteurii</i> และในทางกลับกัน<i> Sporosarcina pasteurii </i>จะหลั่งสารซึ่งเอื้อต่อการเกิดสสารเนื้อแข็งที่สามารถใช้เป็นอิฐบล็อกไว้สร้างแหล่งพักพิงให้กับมนุษย์อวกาศต่อไป<br />
<br />
สำหรับสถานการณ์จริงคงต้องเริ่มต้นด้วยการส่งจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียพวกนี้ไปกับหุ่นยนต์ก่อน เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการทุกอย่างเป็นไปตามผลการทดลองบนโลก ด้วยน้ำหนักที่น้อยมากและขนาดที่เล็กจิ๋วทำให้ข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่และขนาดบรรทุกของยานซึ่งกำลังประสบพบเจอในปัจจุบันหมดไป และหากสำเร็จวิธีการนี้คงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยยืดระยะเวลาให้มนุษย์อยู่ในอวกาศหรือบนดาวเคราะห์ดวงอื่นได้นานยิ่งขึ้น<br />
<br />
<br />
<i><b>เรียบเรียงจาก:</b> </i>New Scientist, "Build a Mars base with a bug box" by Andy Coghlan, October 2012<br />
<i><br /></i>
<i><b>บทความย้อนหลังเกี่ยวกับดาวอังคาร:</b></i><br />
<ul style="background-color: #f9fcff; color: #5b6b7e; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/08/360-panorama-curiosity.html" target="_blank"><span style="color: #1e62b6;">ภ</span>าพดาวอังคารแบบ 360 panorama โดย Curiosity</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/08/curiosity.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">Curiosity ถึงที่หมาย... พร้อมส่งภาพสีใบแรก</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/07/curiosity-1.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">Curiosity: 1 เดือนสุดท้ายก่อนแตะพื้นดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://www.bkkplanetarium.blogspot.com/2012/03/curiosity.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">"Curiosity" มุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/02/blog-post_25.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">เมนูของหวานจากดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2011/12/blog-post_20.html" style="color: #1e62b6; outline: none; text-decoration: none;" target="_blank">ความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคาร</a></li>
</ul>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-60886026896601441852012-10-08T22:15:00.001+07:002012-10-08T22:22:12.702+07:00SpaceX เปิดฉากธุรกิจขนส่งอวกาศอย่างเป็นทางการ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCVITcwUjaggspceJwzEOSv6V2MGdBulz507R_r_e8hgPVlacv-it5HT4ZZLfU0QSEcc1E3lI403T-GAH0JlZ1b1Tg4CvpV7BufTH9nP4q9NqqUyCrnNFl89ZOfgSIN9HFu-rgcdegSmM/s1600/spacex-launch.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="262" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCVITcwUjaggspceJwzEOSv6V2MGdBulz507R_r_e8hgPVlacv-it5HT4ZZLfU0QSEcc1E3lI403T-GAH0JlZ1b1Tg4CvpV7BufTH9nP4q9NqqUyCrnNFl89ZOfgSIN9HFu-rgcdegSmM/s400/spacex-launch.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ช่วงปล่อยจรวด Falcon 9 ของบริษัท SpaceX (KSC Twitter Feed)</td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: left;">
หลังจากโปรแกรม Space Shuttle ได้สิ้นสุดลงอย่างถาวรเมื่อปีก่อน ตอนนี้ NASA กำลังหันไปพึ่งบริษัทเอกชน เช่น SpaceX ในการลำเลียงวัสดุ/อุปกรณ์ขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติหรือ ISS ล่าสุดเมื่อเวลา 00.35 GMT ของวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐาน Cape Canaveral Air Force Station ที่รัฐฟลอริดาเป็นผลสำเร็จ ซึ่งนับเป็นการเปิดฉากเที่ยวบินเชิงธุรกิจครั้งแรกอย่างเป็นทางการในประวัติศาสตร์ [1] </div>
<div style="text-align: left;">
<div>
<br /></div>
<div>
หลังทะยานออกจากฐานประมาณ 10 นาที กระสวยอวกาศ Dragon ได้ถูกสลัดออกจากจรวด Falcon 9 เพื่อมุ่งหน้าสู่ ISS โดยมีกำหนดถึงที่หมายประมาณวันพุธที่ 10 ตุลาคม </div>
</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div>
<div style="text-align: left;">
ในการเดินทางครั้งนี้ กระสวยอวกาศ Dragon บรรทุกสินค้าหนักมากถึง 400 กิโลกรัม ประกอบด้วยเสบียงอาหาร น้ำ เสื้อผ้า เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ และตัวอย่างชิ้นงาน Student Spaceflight Experiments Program (SSEP) ของเด็กนักเรียนกว่า 7,420 คน เกี่ยวกับการทดลองภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงที่น้อยมาก เพื่อส่งมอบของเหล่านี้ให้กับบุคลากรของ ISS ในการนำไปใช้หรือทดลองต่อ นอกจากนี้ยังบรรทุกของหายากสำหรับมนุษย์อวกาศขึ้นมาด้วย ซึ่งถูกบรรจุและส่งขึ้นมาพร้อมกับตู้แช่แข็งตัวใหม่ นั่นก็คือ "ไอศครีม Blue Bell [2]" </div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIt9rOrrUFUIj4mHGRfsWL0dg0-AeEZnobYShD2mERwe6SfR2BfqVCi19b1L-n4pXeXoUOToN8HsLayjyTNntVlP1ClgG3FC1wDc0xVkmHYrULw50xXf9cNZL95thLTZJJ1eiD9S97gyM/s1600/111.jpg" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="168" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIt9rOrrUFUIj4mHGRfsWL0dg0-AeEZnobYShD2mERwe6SfR2BfqVCi19b1L-n4pXeXoUOToN8HsLayjyTNntVlP1ClgG3FC1wDc0xVkmHYrULw50xXf9cNZL95thLTZJJ1eiD9S97gyM/s320/111.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ไอศครีม Blue Bell (Elizabeth Hait, AOL)</td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div>
</div>
<div style="text-align: left;">
ISS จะเชื่อมต่อกับกระสวย Dragon ด้วยแขนกล CanadArm 2 เพื่อขนถ่ายเสบียง ข้อดีของ Dragon คือมันถูกออกแบบมาให้สามารถกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นจึงสามารถนำผลการวิจัยและอุปกรณ์จาก ISS กลับลงมาได้ </div>
<div>
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIZW6E2AP6wbTcwSPsmOJfvc5Q7iyMcsE_W0os0Ffiew3pmpPSJeLeuR1q_grB-A5gp0xixo9ufoAlOAkqzXQUKIYIPSdXJWOKDzT1JUFLRC_5OHHIkGwZs2rio7xRUgM5n_yT7mGH1w8/s1600/800px-STS-116_-_P5_Truss_hand-off_to_ISS_(NASA_S116-E-05765).jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="263" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIZW6E2AP6wbTcwSPsmOJfvc5Q7iyMcsE_W0os0Ffiew3pmpPSJeLeuR1q_grB-A5gp0xixo9ufoAlOAkqzXQUKIYIPSdXJWOKDzT1JUFLRC_5OHHIkGwZs2rio7xRUgM5n_yT7mGH1w8/s400/800px-STS-116_-_P5_Truss_hand-off_to_ISS_(NASA_S116-E-05765).jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ภาพตัวอย่าง CanadArm 2 ที่ใช้ยึดระหว่าง ISS กับ Dragon (NASA)</td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: justify;">
<div style="text-align: left;">
วันที่ 28 ตุลาคม 2555 กระสวย Dragon จะขนส่งสิ่งของหนักกว่า 750 กิโลกรัมจาก ISS มายังโลก โดยจะตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณชายฝั่งของแคลิฟอร์เนียช่วงวันที่ 29 ตุลาคม 2555 ซึ่งจะเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจโดยสมบูรณ์สำหรับการเดินทางเที่ยวแรกจากทั้งหมด 12 เที่ยวที่ NASA ทำข้อตกลงไว้กับ SpaceX ด้วยค่าจ้าง (ตามสัญญา) ที่สูงถึง 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ </div>
<br />
<div style="text-align: left;">
นอกจาก SpaceX แล้ว NASA ยังจ้าง Orbital Sciences Corp เพื่อใช้จรวด Antares ขนส่งเสบียงต่าง ๆ (ซึ่งจะมีขึ้นภายในปีนี้) อย่างไรก็ตาม SpaceX ได้เซ็นต์สัญญาเพิ่มเติมกับ NASA สำหรับการพัฒนากระสวย Dragon ให้สามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปยัง ISS อีกด้วย</div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<br />
[1] SpaceX เคยปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมกับกระสวย Dragon อย่างเต็มรูปแบบมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นรอบสาธิต<br />
<br />
[2] Blue Bell เป็นชื่อแบรนด์ของไอศครีมที่ขายดีเป็นอันดับ 3 ในอเมริกา และเป็นที่นิยมรับประทานบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)<br />
<br />
<b>เรียบเรียงจาก </b><br />
<ul>
<li><a href="http://www.guardian.co.uk/science/2012/oct/08/spacex-rocket-international-space-station" target="_blank">http://www.guardian.co.uk/science/2012/oct/08/spacex-rocket-international-space-station</a></li>
<li><a href="http://www.universetoday.com/97748/liftoff-spacex-launches-first-official-commercial-resupply-mission-to-iss/" target="_blank">http://www.universetoday.com/97748/liftoff-spacex-launches-first-official-commercial-resupply-mission-to-iss/</a></li>
</ul>
<b>บทความที่เกี่ยวข้อง</b><br />
<ul>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/01/falcon-9-spacex-spacex-elon-musk-paypal.html" target="_blank">ทำความรู้จักธุรกิจอวกาศ SpaceX</a></li>
</ul>
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-40183672321520281982012-10-02T18:50:00.000+07:002012-10-02T18:50:39.215+07:00"การผ่าตัด" บนอวกาศ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjli27Cw_EJG1MorSSqVx7ruWf4RHjWjqLnId2bS1QzOqyZHx4rd9zT1nmcj3QkiBQAO-BQwNJwL1t1oKgVPg5Z0BkPJJQtB1S8P6x7ONJNdhZukDOFiu5-LrZwgatEVifjBuN-HmVsQ5E/s1600/aqueous-immersion-surgical-system_original.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="222" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjli27Cw_EJG1MorSSqVx7ruWf4RHjWjqLnId2bS1QzOqyZHx4rd9zT1nmcj3QkiBQAO-BQwNJwL1t1oKgVPg5Z0BkPJJQtB1S8P6x7ONJNdhZukDOFiu5-LrZwgatEVifjBuN-HmVsQ5E/s400/aqueous-immersion-surgical-system_original.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">อุปกรณ์ AISS สำหรับช่วยในการผ่าตัดภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงที่น้อยมาก (Bill Wade/Post-Gazette)</td></tr>
</tbody></table>
ปัจจุบันหากใครสักคนเกิดอุบัติเหตุบนอวกาศจนถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน วิธีเดียวที่ทำได้คือส่งผู้ป่วยกลับมารักษาบนโลก ซึ่งนอกจากผู้ป่วยต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตระหว่างทางแล้ว การขนย้ายผู้ป่วยลงมาบนโลกยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมากด้วย <div>
<a name='more'></a><br /></div>
<div>
แต่หากจะให้แพทย์ลงมือผ่าตัดบนอวกาศก็เป็นเรื่องที่หนักหนาเช่นกัน ภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงน้อยมากจนเข้าใกล้ศูนย์ ทั้งเลือดและของเหลวต่าง ๆ ในร่างกายจะไม่จับตัวและหยดลงสู่พื้นในรูปแบบที่เราคุ้นเคยกัน ดังนั้นการผ่าตัดในอวกาศแต่ละครั้งอาจหมายถึงการที่ทั้งพื้น ผนัง และเพดานห้องต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด</div>
<div>
<br /></div>
<div>
เมื่อเร็ว ๆ นี้ทีมนักวิจัยชาวอเมริกันได้พยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ Aquesous Immersion Surgical System (AISS) โดย AISS มีลักษณะเป็นกล่องโปร่งใสซึ่งเมื่อวางครอบลงบนบาดแผลจะสามารถสร้างผนึกกันน้ำเข้า-ออกได้ และสามารถสูบฉีดสารละลายน้ำเกลือปลอดเชื้อซึ่งภายใต้ความดันของ AISS สารละลายดังกล่าวจะช่วยยับยั้งเลือดไม่ให้ไหลนองออกจากบาดแผล หลังจากนั้นการผ่าตัดจะดำเนินไปโดยอาศัยช่องกันอากาศเข้า-ออกบริเวณข้างกล่อง </div>
<div>
<div>
<br /></div>
</div>
<div>
ขณะนี้ทีมนักวิจัยกำลังเริ่มต้นทดลองใช้อุปกรณ์ดังกล่าวบนเครื่องบิน C-9 ของ NASA ซึ่งสามารถจำลองสภาวะแรงโน้มถ่วงใกล้ศูนย์ได้ บนนั้นพวกเขาจะผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจเทียมซึ่งเต็มไปด้วยเลือดปลอมเพื่อดูว่า AISS สามารถควบคุมให้เลือดยังอยู่ในร่างกายเทียมโดยไม่ล่องลอยออกมาได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามการผ่าตัดจริงในอวกาศไม่จำเป็นที่แพทย์ต้องอยู่บนอวกาศเสมอไป เพราะสามารถทำได้จากบนโลกด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณผ่านหุ่นยนต์บังคับระยะไกล </div>
<div>
<br /></div>
<div>
หากการทดลองประสบความสำเร็จ AISS จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในอวกาศได้นานขึ้น การอาศัยอยู่บนสถานอวกาศนานาชาติจากเดิม 6 เดือนอาจเพิ่มเป็น 1 ปี และทำให้การออกเดินทางสู่ดินแดนอันห่างไกล เช่น ดาวอังคาร มีความเป็นไปได้มากขึ้น</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>เรียบเรียงจาก: </b></div>
<div>
<ul>
<li>"Space Surgery has lift-off, thanks to zero-gravity tool", New Scientist, 29 September 2012 </li>
</ul>
</div>
<div>
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-13993349553184461802012-09-27T16:18:00.001+07:002012-09-27T17:44:01.899+07:00บันได 4 ขั้นของการทำเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อย<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyWpS21FWNQzLKUGT8RRORO2lyLj1Fsyid0B3z1OUn7a2bA87HUsW59lUaPihw6iBUUxTnMQICXu1LSXFkVFKQ2beWwvKif_5q8Q7T6HyBcKnJIMDwKrbVjdrW9OeFuyjHiTkA0z3cy-s/s1600/asteroid_colony.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="316" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyWpS21FWNQzLKUGT8RRORO2lyLj1Fsyid0B3z1OUn7a2bA87HUsW59lUaPihw6iBUUxTnMQICXu1LSXFkVFKQ2beWwvKif_5q8Q7T6HyBcKnJIMDwKrbVjdrW9OeFuyjHiTkA0z3cy-s/s400/asteroid_colony.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ภาพจำลองการทำเหมืองแร่นอกโลก (www.scifiideas.com)</td></tr>
</tbody></table>
ในอวกาศ... น้ำมีค่ามากกว่าทองคำ เพราะองค์ประกอบของน้ำอย่างไฮโดรเจน (H) เป็นตัวให้พลังงานและสามารถนำมารวมกับออกซิเจน (O) ได้ใหม่เป็นเซลล์เชื้อเพลิงประสิทธิภาพสูง ทุก ๆ แกลลอนของน้ำ 8.33 ปอนด์ซึ่งถูกส่งจากโลกขึ้นไปใช้ในอวกาศมีราคาพุ่งสูงถึงหลายหมื่นดอลลาร์ <br />
<a name='more'></a>เมื่อเร็ว ๆ นี้ Planetary Resources [1] ได้วางแผนทำเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อยเพื่อค้นหาแร่ธาตุหายาก เช่น แพลทตินัม และทำธุรกิจแจกจ่ายน้ำให้กับยานอวกาศทั้งของรัฐและเอกชน ด้วยราคาขายที่ถูกกว่าการลำเลียงน้ำขึ้นมาใช้เองโดยตรงจากพื้นโลก แต่ก่อนที่โครงการจะเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน เราลองมาดูเค้าโครงคร่าว ๆ ของ 4 ขั้นตอนหรือภารกิจหลักของการทำเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อยกัน<br />
<br />
<b>ขั้นที่ 1. ค้นหาดาวเคราะห์น้อยเป้าหมาย</b><br />
<br />
Planetary Resources มองหาดาวเคราะห์น้อยทั้ง 2 ประเภท คือ c-type (มีน้ำมาก) และ m-type (มีโลหะมาก) แต่เนื่องจากดาวเคราะห์น้อยไม่ได้ส่องแสงเจิดจ้าเหมือนดาวทั่วไป พวกมันมีขนาดเล็ก มืดทึบ และมักถูกบดบังหรือบิดเบือนโดยชั้นบรรยากาศโลก วิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหาดาวเคราะห์น้อยคือการใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศ ดังนั้น Planetary Resources จึงวางแผนสร้างกล้องโทรทรรศน์อย่างง่ายขึ้นมาเองด้วยต้นทุนประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ (ต้นทุนของกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble อยู่ที่ 1,500 ล้านดอลลาร์) เพื่อใช้ค้นหาดาวเคราะห์น้อย c-type และ m-type โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังวางแผนเช่าใช้กล้อง Arkyd 100s ของเอกชนเพื่อใช้งานควบคู่กันไปด้วย<br />
<br />
<b><b>ขั้นที่ </b>2. ยืนยันเป้าหมายและออกเดินทาง</b><br />
<br />
ดาวเคราะห์น้อยเป้าหมายส่วนใหญ่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 ไมล์ มวลของมันจึงน้อยเกินกว่าจะมีแรงโน้มถ่วงมากพอสำหรับยึดตัวยานไว้บนพื้นผิวได้ ยานอวกาศจึงไม่สามารถเทียบท่าจอดแบบปกติ แต่ต้องใช้วิธีขุดเจาะฐานของยานเข้ากับผิวดาวเคราะห์น้อยเพื่อยึดเหนี่ยวไม่ให้ยานหลุดลอยออกไป หลังจากนั้นหุ่นยนต์จะทำหน้าที่วิเคราะห์หาองค์ประกอบของน้ำและโลหะด้วยอุปกรณ์ Laser-Induced Breakdown Spectroscopy system (LIBS) [2] ด้วยการยิงลำแสง laser เพื่อให้พื้นผิวดาวเคราะห์น้อยกลายเป็นไอและทำการวิเคราะห์ spectrum ที่ได้ว่าตรงกับธาตุใดบ้าง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งกลับมายังฐานควบคุมบนโลก<br />
<br />
<b><b>ขั้นที่ </b>3. เริ่มต้นขุดเจาะ</b><br />
<br />
พื้นผิวดาวเคราะห์น้อยประเภท c-type (น้ำมาก) มีสภาพที่แตกง่าย หุ่นยนต์จะขุดเปิดชั้นดินเพื่อครอบภาชนะปิดลงไป โดยมี processor คอยควบคุมให้ความร้อนกับพื้นผิวชั้นบน ความร้อนนี้จะทำให้เกิดไอน้ำเคลื่อนออกจากผิวดาวเคราะห์น้อยเข้าสู่ภาชนะที่ครอบเตรียมไว้ ไอน้ำ (น้ำ) ที่ได้จะถูกกักเก็บไว้ในนั้นรอการขนย้าย ส่วนกรณีของดาวเคราะห์น้อยประเภท m-type (โลหะมาก) การขุดเจาะจำต้องอาศัยความพยายามที่สูงขึ้น และอาจต้องใช้แม่เหล็กดึงดูดและคัดแยกโลหะออกจากผิวเปลือกชั้นบนด้วย<br />
<br />
<b><b>ขั้นที่ </b>4. ขายสินค้า</b><br />
<br />
กำไรของธุรกิจเหมืองแร่ในอวกาศขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โอกาสที่เป็นไปได้มากสุด ณ ปัจจุบันคือการขายแร่ธาตุหายากเช่นแพลทตินัมโดยนำกลับมาขายบนโลก ดาวเคราะห์น้อย m-type ที่หนัก 500 ตัน จะมีองค์ประกอบของธาตุแพลทตินัมปกติอยู่ที่ 0.0015 % ซึ่งสูงกว่าความเข้มข้นมากสุดที่พบบนโลกถึง 3 เท่า ความสำเร็จของ Planetary Resources จะพลิกโฉมทิศทางเศรษฐกิจในแบบที่พวกเราไม่สามารถจินตนาการได้<br />
<br />
กำไรอีกส่วนหนึ่งซึ่งมาจากดาวเคราะห์น้อยประเภท c-type (มีน้ำเป็นหลัก) ดูเหมือนยังเป็นไปได้ยากสำหรับอนาคตอันใกล้ แต่จะทำกำไรมหาศาลในยุคที่การท่องอวกาศเป็นกิจวัตรปกติของมนุษย์ เช่นยุคที่ยานอวกาศทุกลำบรรทุกถังเติมน้ำและเชื้อเพลิงสำรองสำหรับเดินทางสู่จุดหมายที่ไกลมาก และสามารถจอดแวะเติมได้ทุกเมื่อตามต้องการ แน่นอนว่าหากยังไม่มีการเดินทางที่ว่านี้ โมเดลธุรกิจก็ยังเลือนลาง<br />
<br />
ในทำนองเดียวกัน การขายโลหะจากดาวเคราะห์น้อย m-type อีกวิธีหนึ่งคือการขายตรงบนอวกาศ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถสร้างสถานีหรือยานจากบนนั้น เช่น ซื้อวัตถุดิบจาก Planetarium Resources บนอวกาศและลงมือสร้างยานหรือดาวเทียมจากบนอวกาศด้วยโดยตรงเลย (ไม่ต้องสร้างหรือนำวัตถุดิบส่งขึ้นไปจากพื้นโลก) [3] แน่นอนว่าหากความสามารถของมนุษย์ยังไปไม่ถึงจุดนี้ เม็ดเงินก็ไม่สามารถไหลเข้ามาได้ด้วยช่องทางนี้เช่นกัน<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0j_B9RLxNBQt9-1PIVHVz3JQk1t35AzgL8-adQv9LncDrVzS_3EjfAY8dUMgTumdR3R61mYdJfqjpCtG8iJE9lesA8P8MNnyWpnIezomLgJ9lV0rcVe4ngiKWyxO_AU8GEMvH5nAKyDM/s1600/Space_Economy.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="406" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0j_B9RLxNBQt9-1PIVHVz3JQk1t35AzgL8-adQv9LncDrVzS_3EjfAY8dUMgTumdR3R61mYdJfqjpCtG8iJE9lesA8P8MNnyWpnIezomLgJ9lV0rcVe4ngiKWyxO_AU8GEMvH5nAKyDM/s640/Space_Economy.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">แผนภาพแสดงขอบข่ายของธุรกิจอวกาศ (Planetary Resources)</td></tr>
</tbody></table>
ประเด็นสุดท้ายคือหากสถานีอวกาศทุกแห่งเริ่มต้นปลูกพืชเองเพื่อไว้เป็นอาหารให้กับผู้อยู่อาศัยประจำ การทำเหมืองแร่ของ Planetary Resources อาจมุ่งเป้าหมายไปสู่การค้นหาไนโตรเจนและแอมโมเนีย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับปลูกพืชผลทางการเกษตร สถานีอวกาศจึงไม่ต้องพึ่งการขนส่งอาหารขึ้นมาบริโภคจากบนโลก (ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า) อีกต่อไป ธุรกิจนี้จำเป็นอย่างยิ่งในวันที่มนุษย์เริ่มสร้างบ้านเพื่อตั้งรกราก อยู่อาศัย ขยายเผ่าพันธุ์ไปในอวกาศอย่างแท้จริง และจะเป็นก้าวแรกที่มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในอวกาศระยะยาวได้โดยตัดขาดจากโลกซึ่งคือบ้านแห่งแรกและแห่งเดียวของพวกเราตอนนี้อย่างสิ้นเชิง<br />
<br />
Planetary Resources จึงไม่ใช่แผนธุรกิจเพื่อวันปัจจุบัน (หรือคนรุ่นปัจจุบัน) Eric Anderson หนึ่งในประธานร่วมของบริษัท Planetary Resources กล่าวว่า "นี่คืออุตสาหกรรมที่มองไปข้างหน้าไกลกว่า 100 ปี" และความสำเร็จของโครงการนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยเติมเต็มความฝันแห่งการสำรวจอวกาศอันไกลโพ้นของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย<br />
<br />
ล่าสุด NASA ได้มอบทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการทำเหมืองแร่ในอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบตัวยาน ศึกษาการใช้ solar-thermal propulsion system และเทคโนโลยยีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการขุดเจาะดาวเคราะห์น้อย รวมไปถึงโมเดลธุรกิจอวกาศที่จะเกิดขึ้นตามมา เป็นต้น<br />
<br />
<br />
[1] เนื้อหาเกี่ยวกับ Planetary Resources: <a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/04/blog-post_26.html" target="_blank">ประกาศสร้างเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อย</a><br />
[2] LIBS เป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกับที่ติดตั้งบนหุ่นสำรวจดาวอังคาร Curiosity<br />
[3] เนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างดาวเทียมจากบนอวกาศ: <a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/08/phoenix-program.html" target="_blank">Phoenix Program</a><br />
<br />
<b>เรียบเรียงจาก: </b><br />
<ul>
<li>"How to mine an asteroid", Popular Mechanics, September 2012</li>
<li><a href="http://www.universetoday.com/97582/study-looks-at-making-asteroid-mining-viable/rap-2/">http://www.universetoday.com/97582/study-looks-at-making-asteroid-mining-viable/rap-2/</a>
</li>
</ul>
<br />
<b>เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:</b> <a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/04/blog-post_26.html" target="_blank">ประกาศสร้างเหมืองแร่บนดาวเคราะห์น้อย</a><br />
<br />แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-24848304845764010152012-08-26T13:27:00.000+07:002012-09-27T16:30:30.631+07:00Phoenix Program - โครงการฟื้นคืนชีพดาวเทียม<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQ8AxUK5IER9yMWYPKu9WsJZ4-WTvEx415omKspjCLkOXO-sK0EGQ0UQCiiEAH4Uq_ttmsVfAKPdtFvpZ4G46CnXgvFbliW6kCvcGkv-gxbUmYBbGW0UQA7yKkpcLfxy_TcvQd-e72IAY/s1600/phoenix2-580x373.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQ8AxUK5IER9yMWYPKu9WsJZ4-WTvEx415omKspjCLkOXO-sK0EGQ0UQCiiEAH4Uq_ttmsVfAKPdtFvpZ4G46CnXgvFbliW6kCvcGkv-gxbUmYBbGW0UQA7yKkpcLfxy_TcvQd-e72IAY/s400/phoenix2-580x373.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">Phoenix satellite concept (DARPA)</td></tr>
</tbody></table>
Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) วางแผนสร้างดาวเทียมเก็บกวาดซากชิ้นส่วนของดาวเทียมดวงอื่น ๆ ที่ตายแล้ว และประกอบเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นขึ้นเป็นดาวเทียมดวงใหม่ในอวกาศภายในปี 2015 โดยใช้แขนกลขนาดยักษ์ที่บังคับได้จากบนโลก<br />
<a name='more'></a><br />
โครงการนี้ถูกตั้งชื่อว่า Phoenix Program มีบริษัทต่าง ๆ จำนวนมากสนใจร่วมลงทุน หนึ่งในนั้นคือ NASA’s Jet Propulsion Lab หรือ JPL (ซึ่งเพิ่งจะฉลองความสำเร็จในการส่ง Curiosity ไปดาวอังคารได้เป็นผลสำเร็จ) โดยลำพังเฉพาะ JPL ก็มีส่วนแบ่งสูงถึง 36 ล้านดอลลาร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับคืนชีพให้ดาวเทียมที่ตายแล้ว<br />
<br />
ภารกิจสำคัญของ Phoenix Program คือการรวบรวมชิ้นส่วนที่ยังคงทำงานได้เช่น จานรับสัญญาณ หรือแผงเซลล์สุริยะ จากดาวเทียมซึ่งหยุดทำงานแต่ยังคงลอยคว้างอยู่ในวงโคจรที่เรียกว่า geosynchronous orbit [1] หรือวงโคจรที่ความสูงประมาณ 35,000 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก โดยนำชิ้นส่วนพวกนั้นไปยังวงโคจรใหม่ซึ่งมีสถานีบริการสำหรับซ่อมแซมรออยู่ ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าการรวบรวมชิ้นส่วนเพื้อ re-cycle และประกอบสร้างดาวเทียมดวงใหม่ในอวกาศนั้นมีต้นทุนต่ำกว่าการส่งดาวเทียมใหม่เอี่ยมทั้งลำจากบนโลกขึ้นไปทำงานแทนที่ดาวเทียมที่ตายแล้วนั่นเอง <br />
<br />
Phoenix Program จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีด้านหลัก ๆ ดังนี้<br />
- Radiation tolerant micro-electronics and memory storage<br />
- Industrial robotics end effectors and tool changeout mechanisms and techniques<br />
- Computer-assisted medical robotics micro-surgical tele-presence, tools and imaging<br />
- Remote imaging/vision technologies<br />
<br />
<div style="background-color: white; border: medium none; color: black; overflow: hidden; text-align: left; text-decoration: none;">
<br /></div>
[1] geosynchronous orbit คือวงโคจรที่มีระยะเวลาโคจรครบรอบเท่ากับเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง ดาวเทียมส่วนใหญ่เช่นดาวเทียมด้านการสื่อสารมักจะโคจรอยู่ใน geosynchronous orbit เพราะการเคลื่อนที่จะสอดคล้องกับการหมุนของโลก ทำให้สามารถเชื่อมโยงตำแหน่งที่แน่นอนในการรับ - ส่งสัญญาณระหว่าง ดาวเทียมบนฟ้าและสถานีบนโลกได้ตลอดเวลา<br />
<br />
อ้างอิง: <a href="http://www.universetoday.com/">http://www.universetoday.com/</a><br />
บทความที่เกี่ยวข้อง: <a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/01/blog-post.html" target="_blank">ใครจะเก็บ 'ขยะอวกาศ' ?</a>แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-27430372057840307652012-08-16T09:36:00.000+07:002012-09-27T16:31:39.890+07:00ภาพดาวอังคารแบบ 360 panorama โดย Curiosity <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimn5kDUsT1HcnHHgTc6wMBT__S6JRpfsfuX5BJ2t_orszRMWq3OnlrTPTz9AtEX2gY4BFMhB6bSnCO1kKSKtJ927rcqZBnPLektmtmXubeFEJXMD4Q4qL9u2Z2mTeDnUWobB-WSGhoO5Q/s1600/Untitled.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="352" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimn5kDUsT1HcnHHgTc6wMBT__S6JRpfsfuX5BJ2t_orszRMWq3OnlrTPTz9AtEX2gY4BFMhB6bSnCO1kKSKtJ927rcqZBnPLektmtmXubeFEJXMD4Q4qL9u2Z2mTeDnUWobB-WSGhoO5Q/s640/Untitled.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ภาพตัวอย่างดาวอังคาร 360 panorama (NASA/JPL -Caltech)</td></tr>
</tbody></table>
ท่านสามารถชมภาพดาวอังคารในแบบ 360 panorama ซึ่งถ่ายโดย Curiosity ในภารกิจสำรวจดาวอังคารวันที่ 2 (Sol 2 หรือ Martian solar day 2) ผ่านทาง <a href="http://www.360pano.eu/show/?id=731" target="_blank">http://www.360pano.eu/show/?id=731</a><br />
<a name='more'></a>ซึ่งนอกจากจะได้ชมบรรยากาศบนดาวอังคารแล้ว ท่านยังสามารถหมุนมุมกล้องได้อย่างอิสระ รวมถึงการซูมเข้า-ซูมออก เพื่อดู ดวงอาทิตย์ หรือแม้แต่ก้มลงดูตัวเอง (Curiosity)<br />
<br />
<div>
<b>บทความที่เกี่ยวข้อง</b></div>
<div>
<ul>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/08/curiosity.html" target="_blank">Curiosity ถึงที่หมาย... พร้อมส่งภาพสีใบแรก</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/07/curiosity-1.html" target="_blank">Curiosity: 1 เดือนสุดท้ายก่อนแตะพื้นดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://www.bkkplanetarium.blogspot.com/2012/03/curiosity.html" target="_blank">"Curiosity" มุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/02/blog-post_25.html" target="_blank">เมนูของหวานจากดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2011/12/blog-post_20.html" target="_blank">ความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคาร</a></li>
</ul>
</div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-64221997475777588512012-08-09T14:37:00.000+07:002013-01-07T15:06:04.669+07:00ชมวิดีโอ Space Lecture ครั้งที่ 4 "Higgs -The God Particle"<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWab_OM5FtEfr9FZIT8xZUOQ9Q_OdzQoP2nLSo17fDGAh5mJFJsznzNS4qV-DnMfEK_CWyyCQ3y3DxumhFSMGZJAXtyr6vLe0kMBusNS-Z6grEzlieyl66SuUci3ePp15WArjN_YcQdAc/s1600/Space+Lecture+4+artwork.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWab_OM5FtEfr9FZIT8xZUOQ9Q_OdzQoP2nLSo17fDGAh5mJFJsznzNS4qV-DnMfEK_CWyyCQ3y3DxumhFSMGZJAXtyr6vLe0kMBusNS-Z6grEzlieyl66SuUci3ePp15WArjN_YcQdAc/s640/Space+Lecture+4+artwork.jpg" height="452" width="640" /></a></div>
<br />
ท่านสามารถรับชมคลิปวิดีโอการบรรยายพิเศษโครงการ Space Lecture ครั้งที่ 4 ได้แล้วที่นี่<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<div style="text-align: center;">
Part 1/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/SuAeO7mPaBw?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
Part 2/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/6eXEvKLbTio?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
Part 3/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/SHvSBGRHePo?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
Part 4/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/gTWz4pKezoM?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
Part 5/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<object class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="http://i.ytimg.com/vi/_KHcSZ3LYYk/0.jpg" height="266" width="320"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/_KHcSZ3LYYk?version=3&f=user_uploads&c=google-webdrive-0&app=youtube_gdata" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><param name="allowFullScreen" value="true" /><embed width="320" height="266" src="http://www.youtube.com/v/_KHcSZ3LYYk?version=3&f=user_uploads&c=google-webdrive-0&app=youtube_gdata" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true"></embed></object></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
Part 6/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<object class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="http://i.ytimg.com/vi/pbgnqRSDj_o/0.jpg" height="266" width="320"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/pbgnqRSDj_o?version=3&f=user_uploads&c=google-webdrive-0&app=youtube_gdata" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><param name="allowFullScreen" value="true" /><embed width="320" height="266" src="http://www.youtube.com/v/pbgnqRSDj_o?version=3&f=user_uploads&c=google-webdrive-0&app=youtube_gdata" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true"></embed></object></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
Part 7/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/pC36ahAFrpE?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
Part 8/8</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/Il-5rHii9Ls?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: left;">
<a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2" target="_blank">ชมวิดีโอการบรรยาย Space Lecture ย้อนหลัง</a></div>
<ul>
</ul>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-68934364680066755772012-08-07T16:44:00.001+07:002012-08-16T09:55:39.632+07:00Curiosity ถึงที่หมาย... พร้อมส่งภาพสีใบแรก<i>“ยินดีต้อนรับสู่ดาวอังคาร” Charles Elachi ผู้อำนวยการ Jet Propulsion Laboratory (JPL) กล่าว “ค่ำคืนนี้เป็นคืนเฉลิมฉลอง การลงจอดสำเร็จลุล่วงด้วยดี พรุ่งนี้พวกเราจะเริ่มต้นสำรวจดาวอังคารกันและเริ่มต้นค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในทุก ๆ วัน”</i><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiErygLgbovgydJExMHXjQMXADBMKXci_CMTqAz28RYo1SBqQin_L79d6sMLT_UgGd81rCcIRlSqnq9eo-sxWVyVxVwvUIA34hup1AMgbplioM5DapP7N3fF2rPiyxgvyEQXzI-M9hdMOE/s1600/674080main_PIA15691-43_946-710.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiErygLgbovgydJExMHXjQMXADBMKXci_CMTqAz28RYo1SBqQin_L79d6sMLT_UgGd81rCcIRlSqnq9eo-sxWVyVxVwvUIA34hup1AMgbplioM5DapP7N3fF2rPiyxgvyEQXzI-M9hdMOE/s400/674080main_PIA15691-43_946-710.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ภาพสีใบแรกของดาวอังคารที่ถ่ายโดย Curiosity ( NASA/JPL-Caltech/Malin Space Science Systems)</td></tr>
</tbody></table>
<div>
<div>
วันนี้ Curiosity ได้ส่งภาพสีใบแรกจากดาวอังคารกลับมาให้คนบนโลกได้ยลโฉมกัน ภาพ ๆ นี้ถ่ายตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2555 ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น Sol 1 หรือ วันที่ 1 ของภารกิจสำรวจดาวอังคารของ Curiosity ภาพดังกล่าวถูกถ่ายด้วย Mars Hand Lens Imager (MAHLI) ซึ่งติดอยู่ที่ตัว Curiosity และพึ่งจะถูกเผยแพร่ในวันที่ 7 สิงหาคม 2555 เป็นภาพของบริเวณ Gale Crater หรือบริเวณที่ Curiosity ลงจอด </div>
<div>
<br /></div>
<div>
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เราลองมาดูเหตุการณ์สำคัญและน่าตื่นเต้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมากัน...</div>
<div>
<br /></div>
<div>
วันที่ 5 สิงหาคมตามเวลา PDT (ช่วงเช้าของวันที่ 6 สิงหาคม ตามเวลา EDT) Curiosity หรือห้องทดลองเคลื่อนที่สำหรับวิเคราะห์ดาวอังคาร: Mars Science Laboratory (MSL) ได้แตะพื้นดาวอังคารเป็นผลสำเร็จ การเดินทางจากบ้านเกิดกว่า 352 ล้านไมล์ (567 ล้านกิโลเมตร) เพื่อไปยังโลกใบใหม่ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตลอดการรอคอยกว่า 8 เดือน ช่วงที่สำคัญสุดคงเป็น 7 นาทีของการหย่อนตัวลงจอด ด้วยน้ำหนักที่มากถึงประมาณ 1 ตัน Curiosity ซึ่งถูกบรรจุอยู่ใน capsule จำต้องอาศัย sky crane ช่วยพยุงตัวมันเองฝ่าชั้นบรรยากาศดาวอังคารลงสู่เบื้องล่าง การลงจอดด้วยวิธีนี้ไม่เคยมีมาก่อน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การบินอวกาศ ทำให้ 7 นาทีดังกล่าวเป็นช่วงเวลาตัดสินชะตาหรือ “Live or Die” ที่ใครหลาย ๆ คนคงลุ้นระทึก คลิปวีดีโอที่ 1 เป็น trailer บรรยากาศในห้องควบคุม JPL ขณะติดตามการลงจอดของ Curiosity </div>
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/ofgsALmjGqo?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">คลิปวิดีโอที่ 1: trailer บรรยากาศในห้องควบคุม JPL </span><span style="font-size: x-small;">ขณะติดตามการลงจอดของ Curiosity</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="text-align: -webkit-auto;">การลงจอดอย่างแม่นยำนอกจากจะเป็นเรื่องยากแล้ว เพื่อให้สามารถติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทีมนักวิทยาศาสตร์ JPL ยังต้องอาศัยการเชื่อมโยงอย่างพอเหมาะพอดีกับยานสำรวจอีก 2 ลำก่อนหน้านี้ คือ Mars Odyssey orbiter (ODY) และ Mars Reconnaissance Orbiter (MRO) ซึ่ง Curiosity จะส่งคลื่นวิทยุโดยตรงกลับมายังโลก ส่วน ODY และ MRO จะคอยช่วยเป็นประจักษ์พยานระหว่างการลงจอด ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับ-ส่งสัญญาณวิทยุที่ซับซ้อนขึ้นจาก Curiosity เพื่อบอกเล่าเรื่องราว 7 นาที “Live or Die” ให้กับทีมผู้ติดตามของ JPL บนโลก (คลิปวิดีโอที่ 2) </span>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="text-align: -webkit-auto;">แน่นอนว่า 7 นาทีอันน่าวิตกได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว Curiosity หรือ MSL เข้าสู่ชั้นบรรยากาศดาวอังคารเมื่อเวลา 1 AM EDT วันที่ 6 สิงหาคม 2555 ด้วยความเร็วสูงกว่า 5.9 km/s และแตะพื้นดาวอังคารใน 7 นาทีต่อมาตรงบริเวณ Gale Crater ใกล้กับภูเขาที่มีชื่อว่า Mount Sharp จากความสำเร็จในครั้งนี้เราคงได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายเกี่ยวกับโลกใบใหม่ </span>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<object class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="http://3.gvt0.com/vi/iuaYP_87SMc/0.jpg" height="266" width="320"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/iuaYP_87SMc&fs=1&source=uds" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><param name="allowFullScreen" value="true" /><embed width="320" height="266" src="http://www.youtube.com/v/iuaYP_87SMc&fs=1&source=uds" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true"></embed></object></div>
<div>
<span style="font-size: x-small; text-align: center;"> คลิปวิดีโอที่ 2: ภาพจำลองการเชื่อมโยงอย่างประจวบเหมาะ</span><span style="font-size: x-small; text-align: center;">ของยานสำรวจดาวอังคารแต่ละลำขณะ Curiosity (MSL) ลงจอด </span> </div>
<div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
</div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIokzOgOWprc7rK84ajXikQm8MtgcdefJ0dj3UBdsiOpbJ5pDoB36aMmRjfUH04nlPcXSDrqcGfk1Od8lj5gVfMdF6GPFArwucheDSFIIhEMCt88zPcmYZ5hyphenhyphenGIwre5PoHtJygsy2Cqew/s1600/667454main_MSL-EDL-rev-1900-1024x716.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="277" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIokzOgOWprc7rK84ajXikQm8MtgcdefJ0dj3UBdsiOpbJ5pDoB36aMmRjfUH04nlPcXSDrqcGfk1Od8lj5gVfMdF6GPFArwucheDSFIIhEMCt88zPcmYZ5hyphenhyphenGIwre5PoHtJygsy2Cqew/s400/667454main_MSL-EDL-rev-1900-1024x716.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">รูปที่ 1: การลงจอดของ Curiosity ใน 7 นาที (ภาพจาก NASA)</td></tr>
</tbody></table>
<div>
ภายใต้ภารกิจหลัก 2 ปี หุ่นสำรวจ Curiosity หรือ MSL จะทำการค้นหา “สัญญาณ” สิ่งมีชีวิตขั้นพื้นฐาน Curiosity จะทะยานผ่านพื้นผิวขรุขระเพื่อค้นหาหลักฐานการมีอยู่ของ phyllosilicates และ sulfates บนพื้นทรายสีแดง Curiosity จะปีนขึ้นเหนือยอดเขาเช่น Mount Sharp ซึ่งเป็นเป็นแหล่งเก็บหลักฐานทางธรณีวิทยาของดาวอังคารตั้งแต่เมื่อ 100 – 1,000 ล้านปีที่แล้ว เพื่อวิเคราะห์ผลด้วยห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่พรั่งพร้อมอยู่ในตัวของมันเอง </div>
<div>
<br />
จากวันนี้เป็นต้นไปการสื่อสารระหว่าง Curiosity กับโลกมีอยู่ 3 ช่องทางดังรูปที่ 2 คือ <br />
<ol>
<li>Curiosity --- โลก </li>
<li>Curiosity --- MRO --- โลก </li>
<li>Curiosity --- ODY --- โลก </li>
</ol>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidPpE4KE2XosIYNWAWfl85clcqLT32k95q6naO_xlfjM3nR6-FrO-kiM-HDBwsbn1jGeFiiSFTIo_BaXxA5x1vq-k0aQ4Mv3-1QgUnHvua-4P3IJ6AMmtDpg7_TuzSYJ-f6oB7wkjg-vQ/s1600/202283_211191049010012_1472569581_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="250" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidPpE4KE2XosIYNWAWfl85clcqLT32k95q6naO_xlfjM3nR6-FrO-kiM-HDBwsbn1jGeFiiSFTIo_BaXxA5x1vq-k0aQ4Mv3-1QgUnHvua-4P3IJ6AMmtDpg7_TuzSYJ-f6oB7wkjg-vQ/s400/202283_211191049010012_1472569581_o.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">รูปที่ 2: วิธีการสื่อสารระหว่าง Curiosity กับโลก (ภาพจาก NASA)</td></tr>
</tbody></table>
<div>
ภารกิจครั้งนี้จึงอาศัยการทำงานร่วมกันของสิ่งประดิษฐ์น่าอัศจรรย์ของมนุษย์ 3 ชิ้นหลัก ประกอบด้วย Curiosity, MRO และ ODY แต่เนื่องจากปัจจัยด้านระยะห่างของดาวอังคารกับโลก การส่งข้อมูลระหว่างดาวเคราะห์ทั้ง 2 จึงล่าช้าประมาณ 14 นาที </div>
<div>
<br /></div>
รูปที่ 3 เป็นตัวอย่างภาพถ่ายชุดแรกหรือของขวัญชิ้นแรกจาก Curiosity เป็นภาพที่ถูกถ่ายด้วยเลนส์ fisheye มุมกว้าง ภาพแรก ๆ ที่เราเห็นอาจยังมีความละเอียดต่ำ เพราะ Curiosity ต้องใช้เวลาในการปรับโฟกัสดวงตาของมัน เสมือนคนที่กำลังพยายามปรับตัวเข้ากับดินแดนแห่งใหม่ ภาพถ่ายความละเอียดสูงจะถูกทยอยส่งกลับมายังโลกในวันถัด ๆ ไป รวมถึงภาพถ่ายใบแรกของดาวอังคารในรูปแบบ panorama 360 องศาอีกด้วย </div>
<div>
<br /></div>
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieqpGUiI2G4cvnVgMXiEUBqafkQ5AMtRptoIohydvU-vAIbSvMqVyAzWXmBwO0L5B3_haLfcU45namtZSspDF_gv7qO3hBGri8ZPsgE05tMLYaUy2Leec96xYLq41rW0tMG8jDSVgMYkA/s1600/One-of-the-first-images-f-007.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieqpGUiI2G4cvnVgMXiEUBqafkQ5AMtRptoIohydvU-vAIbSvMqVyAzWXmBwO0L5B3_haLfcU45namtZSspDF_gv7qO3hBGri8ZPsgE05tMLYaUy2Leec96xYLq41rW0tMG8jDSVgMYkA/s400/One-of-the-first-images-f-007.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption"> รูปที่ 3: ตัวอย่างภาพถ่ายชุดแรกโดย Curiosity ซึ่งต่อมา
<br />
<span style="font-size: small; text-align: -webkit-auto;">John Grotzinger </span>ให้ความเห็นว่านี่คือภาพอาทิตย์ตกดินที่งดงามบนดาวอังคาร</td></tr>
</tbody></table>
<div>
“Today on Mars, history was made on Earth” John Holdren ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของ Obama ได้กล่าวไว้ “การลงจอดของ Curiosity คือความท้าทายขั้นสูงสุดเท่าที่เคยมีมาของทุกการสำรวจโดยใช้หุ่นยนต์” ขณะที่ Charles Bolden เจ้าหน้าที่ NASA กล่าวว่า “รอยล้อของ Curiosity บนดาวอังคารจะเป็นตัวแทนของรอยเท้ามนุษย์ Curiosity จะค้นหาคำตอบว่าดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่ และดาวอังคารจะเป็นโลกใบที่สองได้หรือไม่” คำถามเหล่านี้อยู่ในใจมนุษย์ตั้งแต่อดีตเรื่อยมา และมันจะถูกตอบโดยคนรุ่นเรา <br />
<br />
John Grotzinger นักวิทยาศาสตร์โครงการ MSL จาก California Institute of Technology ได้กล่าวชื่นชมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เขาบอกว่าไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กนักเรียนได้ดีไปกว่าการไปดาวอังคาร และมูลค่าของ MSL ต่ออเมริกันชนเป็นมูลค่าในเชิงภาพยนตร์... ภาพยนตร์ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องการจะดู</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>เรียบเรียงจาก</b></div>
<div>
<ul>
<li><a href="http://www.guardian.co.uk/science/blog/2012/aug/06/curiosity-rover-mars-landing-live-blog">http://www.guardian.co.uk/science/blog/2012/aug/06/curiosity-rover-mars-landing-live-blog</a>
</li>
<li><a href="http://www.universetoday.com/">http://www.universetoday.com</a>
</li>
<li><a href="http://www.nasa.gov/mission_pages/msl/index.html">http://www.nasa.gov/mission_pages/msl/index.html</a></li>
</ul>
</div>
<div>
<b>บทความที่เกี่ยวข้อง</b></div>
<div>
<ul>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/07/curiosity-1.html" target="_blank">Curiosity: 1 เดือนสุดท้ายก่อนแตะพื้นดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://www.bkkplanetarium.blogspot.com/2012/03/curiosity.html" target="_blank">"Curiosity" มุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2012/02/blog-post_25.html" target="_blank">เมนูของหวานจากดาวอังคาร</a></li>
<li><a href="http://bkkplanetarium.blogspot.com/2011/12/blog-post_20.html" target="_blank">ความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคาร</a></li>
</ul>
</div>
</div>
</div>
<div>
<br /></div>
แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-41268589534160913292012-07-31T16:14:00.000+07:002012-08-04T10:51:06.158+07:00ความลึกลับของ Brown Dwarf หรือ "ดาวที่ล้มเหลว"<div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxvwPcCJd1IHPecnl0C1BAN_4FuVpL6now7bRD7ZbCB88GsmbV_YhnKlwU6oPRsBx52T7OJiluvB2IwGWavVh5rqcZrmQcEThitLIx_z12wh462hKxk7ujVrpvYkCnRXcxH6IOkdSGsMI/s1600/wise-coolest-brown-dwarf.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxvwPcCJd1IHPecnl0C1BAN_4FuVpL6now7bRD7ZbCB88GsmbV_YhnKlwU6oPRsBx52T7OJiluvB2IwGWavVh5rqcZrmQcEThitLIx_z12wh462hKxk7ujVrpvYkCnRXcxH6IOkdSGsMI/s400/wise-coolest-brown-dwarf.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ภาพจำลอง Brown Dwarf ที่เย็นที่สุด (NASA/JPL-Caltech)</td></tr>
</tbody></table>
ดาวฤกษ์ทุกดวงที่เราเห็นเป็นจุดแสงสว่างงดงามยามค่ำคืนนั้น... แท้จริงแล้วคือปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นบนฟากฟ้า ดาวเหล่านี้จะต้องมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีถึง 75 เท่าจึงสามารถเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมเพื่อปลดปล่อยพลังงานความร้อนและแสงสว่างอันมหาศาลออกมาจากตัวมันเองได้<br />
<br />
ดาวอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้กันมีชื่อว่า Brown Dwarf หรือดาวแคระน้ำตาล ดาวพวกนี้มักจะถูกขนานนามว่า “ดาวที่ล้มเหลว (failed star)” ด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีมวลน้อยเกินกว่าที่จะจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดาวที่ล้มเหลวทำได้เพียงจุดเชื้อเพลิงจำพวกดิวเทอเรียมและใช้มันให้หมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออายุมากขึ้น Brown Dwarf จึงเย็นตัวลงและใช้ชีวิตที่เหลือของมันซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางความมืด มันจะแผ่รังสีความร้อนจาง ๆ ในย่านคลื่น infrared ซึ่งยากที่นักดาราศาสตร์จะแยกแยะได้ท่ามกลางแหล่งความร้อนอื่นที่เข้มข้นกว่า <br />
<br />
ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ค้นพบ Brown Dwarf เพิ่มมากขึ้นภายใต้ภารกิจ Wide-field Infrared Survey Explorer (WISE) ของ NASA การแบ่งประเภท Brown Dwarf ก็เหมือนวิธีที่ใช้กับดาวฤกษ์คือใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์ ในกรณีของดาวฤกษ์เราได้กำหนดตัวอักษร O, B, A, F, G, K, M กำกับดาวฤกษ์ที่มีอุณหภูมิสูงไปต่ำตามลำดับ แต่ Brown Dwarf เย็นกว่าดาวฤกษ์ทั่วไป จึงมีประเภทเพิ่มเติมขึ้นต่อท้ายจาก M คือ L (2400 – 1400 K), T (1400 – 500 K) และ Y (<500 K) <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4Z9nhZ3rwTiC0WLjKcZpxo4k_n5MsBzu6XEoNokI_a-uS-QOYK1hNfBk8hPKKPYkwCpCIrIIFg4Nm3HIdVA8LhrICthQ1upJ-q6UhDodyyHhgWdKLnevWesZPSqZCY485RBwkaa8if8o/s1600/C-BrownDwarfLineup-lg.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4Z9nhZ3rwTiC0WLjKcZpxo4k_n5MsBzu6XEoNokI_a-uS-QOYK1hNfBk8hPKKPYkwCpCIrIIFg4Nm3HIdVA8LhrICthQ1upJ-q6UhDodyyHhgWdKLnevWesZPSqZCY485RBwkaa8if8o/s400/C-BrownDwarfLineup-lg.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption">ประเภทของ Brown Dwarf (ภาพจาก NASA/JPL-Caltech)</td></tr>
</tbody></table>
เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา นักวิจัย WISE ได้ตีพิมพ์เผยแพร่การค้นพบ Brown Dwarf กว่า 100 ดวง ประกอบด้วย Brown Dwarf ที่เย็นมากซึ่งถูกจัดอยู่ในประเภท Y ประมาณ 6 ดวง ทั้งหมดล้วนอยู่ใกล้โลกของเรามากด้วยระยะห่างเพียงแค่ประมาณ 10 – 30 ปีแสงเท่านั้น ปัจจุบัน Brown Dwarf ที่เย็นที่สุดมีชื่อว่า WISEP J1828+2650 มีอุณหภูมิเพียง 300 K หรือเท่ากับอุณหภูมิของวัน ๆ หนึ่งในช่วงฤดูร้อนบนโลก<br />
<br />
ทฤษฎีส่วนใหญ่ระบุว่า Brown Dwarf มีจุดกำเนิดคล้ายดาวฤกษ์ ไม่ใช่ดาวเคราะห์ คือก่อตัวจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นในอวกาศที่ยุบตัวลงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง เกิดแกนกลางที่มีความหนาแน่นสูงในเวลาต่อมา แต่แทนที่กระบวนการนี้จะจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับดาวฤกษ์ มันกลับถูกรบกวนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่นมีวัตถุขนาดใหญ่เคลื่อนผ่านบริเวณดังกล่าวและแย่งมวลส่วนหนึ่งไป หรือดึงแกนกลางออกไปก่อนที่มันจะรวบรวมมวลได้มากพอสำหรับเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นต้น <br />
<br />
Adam Burgasser จาก University of California ให้ความเห็นว่าจักรวาลของเราอาจมี Brown Dwarf มากถึงหลายล้านดวง เนื่องจาก Brown Dwarf ไม่มีพื้นผิวแข็งเหมือนโลก จึงสามารถเกิดวัฏจักรของน้ำในลักษณะที่แตกต่างจากบนโลกอย่างสิ้นเชิง โมเลกุลของน้ำบนนั้นอาจหมุนเวียนในชั้นบรรยากาศ เปลี่ยนจากสถานะก๊าซ เป็นของเหลว และเป็นน้ำแข็งในช่วงที่มันเคลื่อนตัวสูงขึ้น และเปลี่ยนกลับไปเป็นก๊าซขณะที่มันจมลงสู่ใจกลางดาว นักดาราศาสตร์ยังไม่เคยศึกษาสภาพบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน </div>
<div>
<br /></div>
<div>
อย่างไรก็ตามการที่ Brown Dwarf ไม่อาจเผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เปลี่ยนธาตุเบาเป็นธาตุหนัก ธาตุดั้งเดิมและสสารตั้งแต่ยุคแรกเริ่มยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ตัวมันเองเป็นแหล่งเก็บหลักฐานทางเคมีจากอดีตกาล นักดาราศาสตร์จึงเชื่อว่าการศึกษา Brown Dwarf อาจนำเราไปสู่การไขความลึกลับของจักรวาลในยุคซึ่งดาวฤกษ์รุ่นแรก ๆ พึ่งจะถือกำเนิด</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
เรียบเรียงจาก</div>
<ul>
<li>“Misfit Stars” by Kristina Grifantini, Sky & Telescope, July 2012</li>
</ul>
<div>
<br /></div>แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-172807230460175304.post-22127359552350823522012-07-14T22:53:00.000+07:002012-07-17T08:36:16.122+07:00BBC News อธิบาย Higgs แบบง่าย ๆ (video)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhaM7o9iMSsx-erfL0q0LVzBFU6ERaGNGvMRXFJA-yf26D5KeQY5s_UAbJwQrN4dCmAO_7IAL2oScvDEqRgmeNF0d5Ns8_sXIlHwcn9C2xzrQF6Jh0QkZPbyUU_dt4-twi9aB9CyDocPGM/s1600/300px-CMS_Higgs-event.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="368" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhaM7o9iMSsx-erfL0q0LVzBFU6ERaGNGvMRXFJA-yf26D5KeQY5s_UAbJwQrN4dCmAO_7IAL2oScvDEqRgmeNF0d5Ns8_sXIlHwcn9C2xzrQF6Jh0QkZPbyUU_dt4-twi9aB9CyDocPGM/s400/300px-CMS_Higgs-event.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ภาพจำลอง Higgs ที่เกิดจากการชนกันของโปรตอน 2 ตัว ใน CMS experiment<br />(
<a href="http://cdsweb.cern.ch/record/628469">http://cdsweb.cern.ch/record/628469</a>)</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/6JhpTpcTHkc?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
</div>แพนด้าhttp://www.blogger.com/profile/14511993234246722925noreply@blogger.com0